สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. เผยว่าตามกฎระเบียบของแต่ละสายการบิน ตั๋วเครื่องบิน 1 ใบ จะอนุญาตให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าสัมภาระติดตัว (Carry-on baggage) ถือขึ้นเครื่องบินได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่สายการบินจะจำกัดขนาดของกระเป๋าทั้งความยาว x กว้าง x หนา และจำกัดน้ำหนักรวมของกระเป๋าสัมภาระไว้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม
อย่างไรก็ตาม แต่ละสายการบินอาจมีข้อกำหนดเรื่องขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าสัมภาระติดตัว (Carry-on baggage) ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องบินหรือนโยบายความปลอดภัยของสายการบิน ดังนั้นผู้โดยสารจึงควรตรวจสอบข้อมูลสัมภาระกับสายการบินก่อนเดินทางทุกครั้ง
เหตุผลสำคัญที่สายการบินต้องจำกัดทั้งขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าสัมภาระติดตัว (Carry-on baggage) เนื่องจากเครื่องบินแต่ละลำต้องคำนึงถึง “การควบคุมน้ำหนักและความสมดุลของอากาศยาน” (Weight and Balance control) ให้เป็นไปตามข้อกำหนดการปฏิบัติการบินของบริษัทผู้ผลิตอากาศยานนั้น ๆ
น้ำหนักของกระเป๋าสัมภาระติดตัว 7 กิโลกรัมถูกคำนวณแล้วว่าเป็นค่ากลางที่จะนำไปเฉลี่ยกับน้ำหนักอื่น ๆ เช่น น้ำหนักของผู้โดยสาร น้ำหนักสัมภาระในห้องโดยสาร น้ำหนักสัมภาระใต้ท้องเครื่อง เป็นต้น โดยพนักงานภาคพื้นดินจะรายงานน้ำหนักรวมให้นักบินทราบ เพื่อให้นักบินวางแผนการบินต่อไป
นอกจากนี้ การกำหนดขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าสัมภาระติดตัว ยังคำนึงถึง “พื้นที่” และ “น้ำหนัก” ที่ช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะจะสามารถรองรับได้ และผู้โดยสารสามารถยกเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะได้ด้วยตัวเอง
หากช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะมีข้อจำกัดอื่น ๆ เช่น มีพื้นที่ไม่เพียงพอกับกระเป๋าสัมภาระติดตัวของผู้โดยสารในเที่ยวบิน พนักงานภาคพื้นดินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะพิจารณาจัดเก็บกระเป๋าสัมภาระติดตัวในพื้นที่อื่น เช่น จัดเก็บไว้ใต้ท้องเครื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งผู้โดยสารควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
CAAT จึงขอแนะนำเทคนิคการเตรียมกระเป๋าสัมภาระติดตัวที่จะช่วยให้ผู้โดยสารเดินทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ดังนี้
1. แต่ละสายการบินอาจกำหนดขนาดและน้ำหนักของสัมภาระติดตัวที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ผู้โดยสารควรตรวจสอบเงื่อนไขและรายละเอียดผ่านเว็บไซต์ของสายการบินก่อนการเดินทางทุกครั้ง
2. ผู้โดยสารควรตรวจสอบรายการสิ่งของต้องห้ามที่ห้ามนำติดตัวขึ้นบนอากาศยาน
ข้อมูลเพิ่มเติม คลิ๊ก