รู้หรือไม่? “ฮาโลวีน” หรือ “Halloween” ที่เราสนุกสนานกันทุกปีนั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าที่คิด “วันฮาโลวีน” ที่เราคุ้นเคยกันดีในปัจจุบันนั้น มีรากฐานมาจากความเชื่อและประเพณีโบราณของชาวเซลต์ ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมในบริเวณเกาะไอร์แลนด์และพื้นที่ใกล้เคียง
ชาวเซลต์มีความเชื่อว่า วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อนและเป็นวันเริ่มต้นของฤดูหนาว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เส้นแบ่งระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของวิญญาณเบลอเลือนที่สุด โดยวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์ และเหล่าภูตผีปีศาจก็จะออกมาสร้างความปั่นป่วน
เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากอิทธิพลของวิญญาณชั่วร้าย ชาวเซลต์จึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นในคืนก่อนวันสิ้นสุดฤดูร้อน โดยมีการจุดไฟกองใหญ่เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย และแต่งกายด้วยชุดประหลาดเพื่อให้วิญญาณไม่สามารถจำตัวได้
เมื่อชาวโรมันเข้ามายึดครองบริเวณเกาะอังกฤษ พวกเขาก็ได้นำเอาเทศกาลของตนเองมาผสมผสานกับความเชื่อของชาวเซลต์ จนกลายเป็นเทศกาลใหม่ที่เรียกว่า Feralia ซึ่งเป็นเทศกาลรำลึกถึงผู้ตาย และ Pomona เทศกาลเฉลิมฉลองเทพีแห่งผลไม้ ซึ่งตรงกับช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต
ต่อมา เมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแผ่ในยุโรป ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนเทศกาลดังกล่าวให้เข้ากับหลักคำสอนของศาสนา โดยกำหนดให้วันที่ 2 พฤศจิกายนเป็น วันแห่งวิญญาณบริสุทธิ์ (All Souls' Day) เพื่อระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็น วันนักบุญทุกองค์ (All Saints' Day) เพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่านักบุญ
สำหรับการเข้ามาของ “วันฮาโลวีน” ในประเทศไทย เป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน เริ่มช่วงราวทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ผ่านสื่อต่างๆ เช่นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ การ์ตูน เป็นต้น ส่วนภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยม เช่น ภาพยนตร์แอนิเมชั่น Tim Burton's Corpse Bride หรือ Boo! A Madea Halloween เป็นต้น
นอกจากนี้แบรนด์ต่าง ๆ มักจะใช้วันฮาโลวีน ออกสินค้าใหม่ เช่น ขนม เครื่องแต่งกาย และของตกแต่ง รวมถึงการแชร์ภาพและวิดีโอ ทำให้คำว่า "ฮาโลวีน" กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมแต่งกายเป็นผีและจัดปาร์ตี้
เรื่องราวของ “ฮาโลวีน 2567” ยังไม่จบแค่นี้ เพราะคุณรู้หรือไม่ว่า “ฟักทองผี” มีที่มาจากอะไร ... มาหาคำตอบได้ในตอนต่อไป