เที่ยวเชียงใหม่ หน้าหนาวดีต่อใจ เราจะพาไปปักหมุดเช็คอินที่เที่ยวสวยๆกัน ในสไตล์เที่ยวได้ทั้งครอบครัว
หนาวๆแบบนี้ทะเลหมอกต้องเข้าแล้ว เราปักหมุดกันที่เส้นทาง “แม่แตง” ถ้าชอบแบบไม่พลุกพลาน ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ราว 60 กิโลเมตร แวะไปเที่ยว “ดอยม่อนเงาะ” อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่จุดชมวิวบนยอดดอย สูง 1,425 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นอกจากทะเลหมอกที่ทอดยาวไปตามหุบเขาต่างๆหลายกิโลเมตรแล้ว
เรายังมองเห็นทิวทัศน์ 3 ยอดยอดใหญ่ๆของจ.เชียงใหม่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยอดดอยผ้าห่มปก ยอดดอยอินทนนท์ และยอดดอยหลวงเชียงดาว รวมถึงทิวเขาน้อยใหญ่สลับลดหลั่นกันไป สวยบาดใจมาก
ที่พักของเราสำหรับค่ำคืนนี้ คือ “ธรรมชาติ โฮมสเตย์” มีแค่ 6 หลัง ในหมู่บ้านออบ ต.เมืองก๋าย อ.แม่แตง ใช้เวลาเดินทางแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งจากสนามบินเชียงใหม่ก็ถึง ห้องพักที่นี่มีตั้งแต่โฮมสเตย์แบบชาวบ้าน
ไปจนถึงโฮมสเตย์ลักชู อารมณ์ประมาณมีอ่างอาบน้ำ บางหลังมีสระว่ายน้ำ ในบ้าน ให้เราพักผ่อนแบบสบายๆเลย
พักที่นี่นอกจากมีรายการอาหารให้เราได้เลือกกินได้ หลายหลาย เขาแถมเซ็ทหมูกะทะ กุ้งสด ปลาหมึก หมูสไลด์ จุกๆ การได้ปิ้งย่างท่ามกลางอากาศหนาวๆฟินเว่อร์ ยกกันมาเสิร์ฟถึงบนห้องอีกต่างหาก
ตื่นมาว๊าวเลย สำหรับสายหมอกหนาๆยามเช้าที่แวะเข้ามาต้อนรับเราถึงประตูห้องเลย ยิ่งการได้แช่อ่างอาบน้ำท่ามกลางสายหมอกฟุ้งๆโอบล้อมทิวเขา ฟินมากอ่ะ
วิวงามมาก ธรรมชาติสุดๆเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพรัวๆ
ก่อนจะต่อด้วยอาหารเช้า การได้กินข้าวต้มร้อนๆ อากาศหนาวๆ มันดีแบบนี้เอง ตกดึกนอนนับดาว รีทรีตใจมากๆ
จากที่พักสามารถขับรถขึ้นไปเที่ยวบนดอยม่อนเงาะได้ แต่ทางแคบ ต้องค่อยๆขับ ถ้าไม่อยากขับเอง ทางโฮมสเตย์มีรถบริการ คิดค่าใช้จ่ายคันละ 500 บาท จะมีคุณลุงผู้ชำนาญทางขับรถนำเราไป-กลับดอยม่อนเงาะ แบบสบายใจ
จากโฮมสเตย์ใช้เวลาราว 30 นาที ก็ถึงที่หมาย จากนั้นเดินเท้าเข้าไปไม่ไกลมาก ก็จะเห็นวิวทะเลหมอก บน “ยอดดอยม่อนเงาะ” เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจกับแสงแรกของวัน
แหล่งท่องเที่ยวในเส้นทางแม่แตง พลาดไม่ได้กับ “ไร่ชาลุงเดช” ไร่ชาขั้นบันได ซึ่งเริ่มปลูกมาตั้งแต่ปี 2532 ไม่เพียงโครงการหลวงจะรับซื้อผลผลิตเท่านั้น
ที่นี่ยังเป็นจุดปักหมุดที่หลายคนอยากเดินลงเนินเขา ไปถ่ายรูปกับไร่ชา เขียวขจี อันกว้างใหญ่ แอคอาร์ตเหมือนเป็นเจ้าของไร่
ถ่ายรูปเสร็จมานั่งจิบชาร้อนๆ และทานอาหารไป พร้อมๆกับชมวิวทิวทัศน์ไร่ชา ผ่อนคลายจริงๆ
ชาที่นี่ มีหลากหลาย อาทิ ชาอูหลง ชากาบ้า ซึ่งมีส่วนประกอบจากชาอัสสัม ชาขาว ซึ่งผลิตจากตูมและยอดอ่อนของต้นชา รสชาติ อ่อนนุ่ม ชุ่มคอ เป็นชาแนะนำของที่นี่
ส่วนอาหารแนะนำ ไหนๆมาไร่ชาทั้งที ต้องเลือกเมนูที่มีส่วนผสมจากใบชา ไม่ว่าจะเป็น ใบชาทอดกรอบ ไข่เจียวใบชา ยำปลากระป๋องใบชา
โดยใบชาที่นำมาใช้ ก็เป็นใบยอดชาอ่อนที่เก็บสุดๆจากไร่นั่นเอง และที่นี่มีโฮมสเตย์ด้วย ใครอยากมาจิบชายามเช้าพร้อมสายหมอกก็แวะมาพักกันได้
มาเชียงใหม่ช่วงนี้ พลาดไม่ได้เลยกับการมาเที่ยวสวนส้ม ที่ช่วงนี้กำลังออกลูกกันใหญ่เลย ขับรถเลยจากไร่ชาลุงเดช เปิดกูลเกิ้ลไปไร่กำนันอาทิตย์
โอโห! สวนส้มที่นี่มีกว่าพันต้น กว้างใหญ่มาก ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มโอเชี่ยนแข่งกันออกลูกเพียบ การได้มาถ่ายรูปในสวนส้มลูกโตๆ เก็บส้มไปด้วย ได้ฟิลมาก เขาขายกิโลกรัมละ 50 บาท
อยากได้ลูกไหนเก็บสดๆจากไร่ เก็บเอง ชิมเอง นักเลงพอ ปล. ชิมแล้วอร่อยจริง มาหนาวนี้ที่ไร่ส้มกัน
สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งท่องเที่ยวอันซีน แนะนำให้ไปเที่ยวเส้น “สะเมิง” ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปราว 52 กิโลเมตร ไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของ “ถ้ำสีรุ้ง” กันที่ “ถ้ำหลวงแม่สาบ” ในพื้นที่ “อุทยานแห่งชาติขุนขาน”
ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อยสีดำ เสาหิน หินน้ำไหล บัลลังก์หิน ทำนบหินปูน ดูแปลกตา โถงถ้ำ มีรูปลักษณ์ต่างๆ บางจุดดูเหมือนปลาวาฬ บางจุดเหมือนช้าง
ถ้ำที่นี่ยังมีชีวิต เรายังเห็นน้ำหยดจากหินย้อย และไฮไลท์ คือ “อุโมงค์สายรุ้ง” ว๊าวมากๆกับลวดลายบนผนังถ้ำที่เป็นริ้วแถบสีเทาขาว สลับเหลือง ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบทางเคมีในเนื้อหินที่แตกต่างกัน กลายเป็นริ้วสีสวยงามแปลกตา เหมือนม่านสีรุ้ง
จนได้รับการขนานนามว่า “ถ้ำสีรุ้ง” โอโห! งามมากๆสำหรับผนังถ้ำลวดลายสีรุ้ง มีทั้งเป็นแถบยาว และขดเป็นวงมีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีทั้งสีเหลือง ส้ม แดง น้ำตาล ฟ้า ขาว เทา ดำ เป็นแนวสีสลับกันไป
ทั้งยังเรียงตัวกันเป็นชั้น ๆ เป็นลักษณะของหินน้ำไหล สีแดงและน้ำตาล เป็นแร่เหล็ก สีขาวเป็นแร่แคลไซต์ ส่วนสีเทา-ดำเป็นแร่แมงกานีสไดออกไซด์
การต่างกันของสีนั้นมาจากออกซิเจนด้วย คือ เวลาที่น้ำหินปูนที่มีสารละลายเหล็กและแมงกานีส (เดิมไม่มีสี) พอผสมกับออกซิเจนจะกลายเป็นสีแดงและสีดำภายหลัง เป็นความน่าทึ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์อย่างแท้จริง
หลังจากใช้เวลาเที่ยวแถวแม่แตงจนจุใจ ถึงเวลาเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อไปหาซุปตาร์ “เอวา” เสือโครงสีทอง หน้าตาบ๊องแบ๊วน่ารัก ที่หลายคนกำลังโดนตกไปเต็มๆ
บ้านของน้องเอวา และพี่ลูน่า อยู่ที่ เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี ต.แม่เหียะ ไนท์ซาฟารี จัดว่าเป็นสวนสัตว์เปิดขนาดใหญ่ และเป็นส่วนสัตว์กลางคืนแห่งแรกของประเทศไทย
ไฮไลท์คือ การนั่งรถรางชมสัตว์อย่างใกล้ชิด ทั้งในโซนสัตว์นักล่า (Predator Prowl) และสัตว์กินพืช (Savanna Safari)ซึ่งเปิดให้นั่งชมตั้งแต่ 14.30 -21.00 น. และยิ่งตกดึกการได้นั่งรถรางชมสัตว์ทั้ง 2 โซนจะตื่นเต้นมากๆ เราจะสัมผัสได้ถึงการใช้ชีวิตของสัตว์เหล่านี้อย่างมีอิสระท่ามกลางป่า
นอกจากนี้ยังมีโชว์ต่างๆพลาดไม่ได้กับโชว์เสือ ที่มีน้องเอวา กับ พี่ลูน่า ร่วมแสดงด้วย อีกโชว์ที่ชอบมาก คือ นักล่าแห่งรัตติกาล เราเพิ่งเห็นเสือว่ายน้ำหาอาหารกินเป็นครั้งแรกก็ที่นี่เลย ทั้งยังมีคาวบอยโชว์และกิจกรรมป้อนอาหารม้าแคระ การแสดงน้ำพลุดนตรีก็มีนะ
หลายคนอยากจะไปเชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี ในช่วงกลางวัน คือ การได้มาหาน้องเอวา และ พี่ลูน่า เสือโคร่งสีทอง หรือ เสือโคร่งสตรอเบอรี สีหายากที่เกิดยากยีนด้อยทำให้สีอ่อนลง มีเพียง 100 ตัวบนโลก ขวัญใจนักท่องเที่ยว
ถ้าเรามาเพื่อดูน้องเอวา และเดินชมสวนสัตว์ตอนกลางวัน จ่ายคนละแค่ 50 บาทเท่านั้น เหมาะมากสำหรับคนที่มีเวลาน้อย และอยากหาเจอเอวาตัวเป็นๆ แต่ถ้าจะดูให้ครบสนุกทุกกิจกรรมในเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีจะอยู่ที่ คนละ 300 บาท
ปิดท้ายวันสุดท้ายในเชียงใหม่ ด้วยการแวะไหว้พระ กันที่ วัดสวนดอก หรือ วัดบุปผาราม พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย บนถนนสุเทพ ต.สุทเพ อ.เมืองเชียงใหม่
มาที่นี่ต้องสักการะพระเจ้าเก้าตื้อ พระประธานองค์ใหญ่ในพระอุโบสถ ซึ่งพระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช หรือ พระเมืองแก้ว กษัตริย์แห่งลานนาไทย ในราชวงศ์เมงรายทรงให้สร้างขึ้น เป็นพุทธรูปหล่อด้วยทองสำริด ศิลปะแบบเชียงแสนฝีมือช่างล้านนา
รวมถึงพระเจ้าค่าคิง พระประธานในพระวิหารหลวง ซึ่งพระเจ้ากือนาธรรมิกราช โปรดให้ช่างสร้างขึ้นด้วยทองสำริด เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีขนาดเท่าพระวรกายของพระองค์ขณะประทับยืน
ทั้งวัดสวนดอก ยังเป็นสถานที่บรรจุอัฐิครูบาเจ้าศรีวิชัย รวมถึงกู่เจ้านายฝ่ายเหนือ เป็นอนุสาวรีย์ ซึ่งบรรจุพระอัฐิของอดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ทั้งเก้าพระองค์ และพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รวมทั้งอัฐิของเจ้านายผู้ถือกำเนิดโดยตรงจากเจ้าหลวงเชียงใหม่ ที่ล่าสุดคือ เจ้าวงเดือน ณ เชียงใหม่ อีกด้วย
หนาวนี้ที่เชียงใหม่ เที่ยวครบรสจริงๆ