สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มาหุ้นของ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) โดย บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป ( MAJOR) ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา 69 ล้านหุ้น คิดเป็น 5% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 5% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
MAJOR ระบุราคาซื้อว่า เป็นการทยอยซื้อหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามราคาซื้อในตลาดช่วงราคา 7.06 ถึง 8.26 บาทต่อหุ้น คิดเป็นราคาซื้อในตลาดเฉลี่ย 7.82 บาทต่อหุ้น หรือใช้เงินลงทุนราว 539.58 ล้านบาท
คลิกอ่านเพิ่ม : MAJOR ทุ่มพันล้านคาดเข้าถือหุ้น TKN ไม่เกิน 10% หวังรุกตลาดป๊อปคอร์นใน-ตปท.
MAJOR เข้าเก็บหุ้นสะท้อนความเชื่อมั่น
ด้านนายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เปิดเผยถึงการที่ MAJORเข้าซื้อหุ้น TKN จำนวน 69 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5% ว่าทางกลุ่มผู้ถือหุ้น TKN ไม่มีการขายหุ้น Big Lot ให้กับ MAJOR แต่อย่างใด เป็นเพียงการทยอยเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของทาง MAJOR เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แต่อย่างใด
“การที่ MAJOR เข้าลงทุนถือหุ้นในบริษัทฯ เนื่องจากมองเห็นศักยภาพและโอกาสเติบโต และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการ Synergy เพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่วมกันในอนาคต เพราะ TKN มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจขนมขบเคี้ยว ส่วน MAJOR มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงภาพยนตร์” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
การเคลื่อนไหวราคาซื้อขาย TKN ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ (10 มีนาคม 2565) อยู่ระดับ 7.80 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 บาทจากเมื่อวาน ( 9 มีนาคม 2565) หรือ +4.00% มูลค่าซื้อขาย 76.58 ล้านบาท
ขณะที่การเคลื่อนไหวราคาหุ้น MAJOR ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ อยู่ระดับ 19.70 บาท ปรับเพิ่มจากเมื่อวาน 0.50 บาท หรือ+ 2.60% มูลค่าการซื้อขาย 75.16 ล้านบาท
การเข้าถือหุ้น 5% ใน TKN ส่งผลให้ MAJOR ขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 รองจาก "อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ ต๊อบ" ที่ถือหุ้นในนามส่วนตัวและในนามบริษัทรวมกัน 49% และไทยเอ็นวีดีอาร์ที่ถืออยู่ราว 7%
โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของTKN 5 อันดับแรก ณ วันที่ 30 ส.ค. 256 ประกอบด้วย
คาด MAJOR พลิกฟื้นขาดทุนมาเป็นกำไรปีนี้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินพื้นฐานหุ้น MAJOR แนะนำ “ซื้อ” โดยมองว่าผลประกอบการได้ผ่านช่วงแย่สุดไปแล้ว ขณะที่คาดหวังผลประกอบการจะกลับมาเติบโตโดดเด่นในปี 2565 จากฐานที่ต่ำ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น
นอกจากนี้การนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น SF ไปต่อยอดธุรกิจใหม่จะชดเชยส่วนแบ่งเงินลงทุนที่หายไป รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ จึงคงมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 23.60 บาท โดยอิงวิธี DCF สมมติฐาน WACC ที่ 7.4%
สำหรับปี 2565 ผลประกอบการจะพลิกฟื้นจากขาดทุนปีก่อนเป็นกำไร 932 ล้านบาท ซึ่งมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่รอเข้าฉายจำนวนมาก The Batman, FANTASTIC BEASTS, DOCTOR STRANGE เป็นต้น คาดผู้ชมจะกลับมาอยู่ระดับ 70-80% ของระดับปกติก่อนวิกฤต COVID-19 โดยคาดรายได้ที่ 7,736 ล้านบาท เติบโต 225% จากปีก่อน
ส่วนประเด็นผลกระทบจากส่วนแบ่งกำไร SF ที่ลดลงจะถูกชดเชยกับผลของดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง จากการนำเงินจากการขายหุ้นบางส่วนไปชำระหนี้ ซึ่งบริษัทชี้แจงว่าผลตอบแทนที่ได้จากการนำเงินไปลงทุน จะครอบคลุม ส่วนแบ่งกำไรที่ลดลง รวมถึงการขยายธุรกิจใหม่ๆ
อาทิ 1.การขยายธุรกิจอาหาร นำป๊อปคอน เข้าไปจำหน่ายในร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น 2.ร่วมทุนกับพันธมิตรที่จีนในการสร้างภาพยนต์เข้าฉายในโรงภาพยนต์ที่ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ โดยในประเทศจีนนั้นมีจอโรงภาพยนตร์กว่า 8 หมื่นจอ หากเข้าฉายได้ราว 5 พันจอ ก็มองว่าจะสามารถทำรายได้ในระดับที่ดี