ผ่านมา 3 ปีพอดีครับ สำหรับการนำเข้า BMW X7 M50d มาเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย กับราคา 8.999 ล้านบาท หรือจ่าย 9 ล้านไม่ต้องทอน (ให้ทิปที่ปรึกษาการขายไปเลย) ถือเป็นแฟลกชิปโมเดลในกลุ่มเอสยูวี ที่บีเอ็มดับเบิลยู เสริมไลน์เข้ามาใหม่ในระดับเดียวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLS หลังจากที่ผ่านมามีเพียง X5 และ X6 (ขู่แข่ง GLE)
BMW X7 เป็นเอสยูวีตัวถังยาวใหญ่ที่สุด เท่าที่ค่ายใบพัดสีฟ้าเคยผลิตมา ด้วยความยาว 5,151 มม. กว้าง 2,000 มม. สูง 1,805 มม. และระยะฐานล้อ 3,105 มม. ประกบล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว โดย X7 M50d มากับขุมพลังดีเซลขั้นสุด 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ 4 ตัว (Quad Turbos) 400 แรงม้า และแรงบิด 760 นิวตัน-เมตร ซึ่งใครซื้อไปตอนนั้นถือว่าได้ “แรร์ไอเทม” เพราะเครื่องยนต์บล็อกนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยุติการพัฒนาและเลิกใช้ในรถยนต์ของตนเองแล้ว (ปรับให้สอดคล้องกับกฎไอเสียของยุโรป)
จากนั้นต้นปี 2564 เอสยูวีน้องยักษ์รุ่นนี้ ถูกนำมาขึ้นสายการผลิตที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู จ.ระยอง พร้อมทำราคาลงมาถึง 3 ล้านบาทเมื่อเทียบกับรุ่นนำเข้า แต่เปลี่ยนรหัสเป็น xDrive30d และใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตรเทอร์โบ 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร
BMW X7 xDrive30d รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 5.999 ล้านบาท พละกำลังลดลง แต่บีเอ็มดับเบิลยูไม่ได้ตัดออพชันอื่นๆ ลง เพียงแต่เปลี่ยนจากยางรันแฟลตเป็นยางเรเดียลปกติ แถมเพิ่ม 2 จอเพื่อความบันเทิงของผู้โดยสารแถวสองมาให้อีกด้วย ในขณะที่คู่แข่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว GLS 350d รุ่นประกอบในประเทศในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมลด ราคา 2.36 ล้านบาท เมื่อเทียบกับตัวนำเข้า
โดย GLS 350d มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 3.0 ลิตรเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ ราคาขาย 6.499 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มหากาพย์ของ X7 ยังไม่จบนะครับ ล่าสุดปรับจูนเครื่องยนต์ใหม่ ให้ผ่านมาตรฐานยูโร 5 ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการขยับเพื่อตลาดส่งออก กับ BMW X7 xDrive40d M Sport (เท่ากับมีทั้งรหัส 50,40 และ 30) โดยเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกนี้ มาพร้อมระบบไมลด์ไฮบริด 48 โวลต์ รองรับมอเตอร์สตาร์ทสามารถฉุดให้เครื่องยนต์ติดได้ พร้อมผ่อนเบาภาระของเครื่องยนต์ ด้วยการเสริมกำลังได้ 11 แรงม้า ในขณะออกตัวและเร่งเครื่อง
ขณะเดียวกันยังช่วยลดมลพิษด้วยการฉีดสารแอดบลู (เมื่อนำรถเข้าเช็กระยะจะเติมให้ฟรีทุกครั้ง ตามโปรแกรม BSI) ลด NOX ก่อนปล่อยออกมาทางท่อไปเสีย ถือเป็นครั้งแรกที่รถบีเอ็มดับเบิลยู มากับถังใส่สารยูเรียนี้
ผมมีโอกาสลองขับ รีวิว BMW X7 xDrive40d M Sport ที่จังหวัดเชียงราย เส้นทางเหมาะสมกับการทดสอบขุมพลังดีเซลที่ปรับจูนมาใหม่ หากดูที่ประสิทธิผลตามโบชัวร์ พละกำลังก็น้องๆ M50d ตัวนำเข้าเลยนะครับ ด้วยม้าในคอก 340 ตัว แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ประกบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ลำเลียงเรี่ยวแรงได้ราบรื่นต่อเนื่อง ส่งกำลังขึ้นเขา-ลงเนินสบายๆ ขณะที่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.1 วินาที
แรงบิดดี และมาในรอบตํ่า การตอบสนองของเครื่องยนต์เนียนแน่นทันใจ สอดคล้องกับระยะเบรกอยู่ภายใต้ความคาดหมาย ขณะที่ตัวรถยาว 5 เมตรกว่า มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive แปรผันกำลังลงสู่ล้อหน้า-หลังตามสภาพการขับขี่ พร้อมระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง ช่วยให้การควบคุมรถสบายมือกว่าที่คิด เรียกว่ารถคันใหญ่ๆ แต่ขับจริงไม่เทอะทะ
ส่วนช่วงล่างถุงลม รองรับการขับขี่ได้นุ่มหนึบ พื้นตัวถังยกสูง-ลงตํ่าได้ 5 ระดับ ส่วนล้ออัลลอยวงโตขนาด 22 นิ้ว ประกบยางหน้า 275/40 R22 และหลัง 315/35 R22 ถือว่าบีเอ็มดับเบิลยูตัดสินใจถูกละครับ ที่ตัวประกอบในประเทศเปลี่ยนมาเป็นยางเรเดียลปกติ เพราะแค่คิดว่าเป็นยางรันเฟลตขนาด 22 นิ้ว นอก จากจะแพงแล้ว คงจะกระด้างเอาเรื่อง
BMW X7 xDrive40d M Sport ยังไม่ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่ราคาจะสูงกว่ารุ่น xDrive30d เล็กน้อย หรืออยู่ในช่วง 6.1-6.3 ล้านบาท
รวบรัดตัดความ...เอสยูวีรุ่นท็อปของค่ายใบพัดสีฟ้า มาพร้อมระบบอำนวยความสะดวก-ความปลอดภัยเพียบ ที่สำคัญเมื่อเทียบฟังก์ชันปอนด์ต่อปอนด์กับคู่แข่ง Mercedes-Benz GLS 350d เหมือน BMW X7 xDrive40d M Sport จะได้เปรียบกว่า พร้อมขุมพลังรักษ์โลกทั้งไมลด์ไฮบริด และถังยูเรียระบบแอดบลู ที่น่าจะเป็นขั้นสุดของการลดมลพิษของเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว รถดี-เทคโนโลยีเต็มคัน ประกอบไทย มาในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม
เรื่อง รีวิว BMW X7 : กรกิต กสิคุณ