บอร์ด EV ลดภาษีหนุนผลิตรถยนต์ HEV - MHEV เก็บคงที่ 7 ปี เริ่ม 2569

04 ธ.ค. 2567 | 08:25 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ธ.ค. 2567 | 09:01 น.

นายกฯ ประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ บอร์ด EV อนุมัติลดอัตราภาษีสรรพสามิตผลิตรถยนต์ HEV และ MHEV เก็บคงที่ 7 ปี เริ่มปี 2569 พร้อมขยายเวลาการผลิตชดเชยมาตรการ EV3 โอนไป EV 3.5

วันนี้ (4 ธันวาคม 2567) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดอีวี ซึ่งมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 

1.มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับผลิตรถยนต์ Hybrid (HEV) และ Mild Hybrid (MHEV)

2.การขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 โดยให้ สามารถโอนไปผลิตชดเชยตามเงื่อนไขมาตรการ EV3.5 และระงับการให้เงินอุดหนุน จนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบถ้วน 

 

บอร์ด EV ลดภาษีหนุนผลิตรถยนต์ HEV - MHEV เก็บคงที่ 7 ปี เริ่ม 2569

 

โดยทั้งสองมาตรการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสมดุลการแข่งขัน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนทั้งระบบ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและ ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกในทุกประเภทในระยะยาว

มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

นายนฤตม์ ระบุว่า ที่ประชุมบอร์ดอีวี ได้เห็นชอบ การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบ HEV และ MHEV ซึ่งผลิตในประเทศ แยกเป็น 2 ส่วน คือ

1. มาตรการสนับสนุนรถยนต์ HEV 

กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษี ใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) ตามมติบอร์ดอีวีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 โดยมีอัตราและเงื่อนไข การลงทุน ดังนี้

ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km

  • การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 6
  • การปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 - 120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 9

รวมทั้งต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 - 2570

ขณะเดียวกันยังต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศ ตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ ตั้งแต่ปี 2571 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 

  • กรณีลงทุนเพิ่มเติม 3,000 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5,000 ล้านบาท จะต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงทั้ง 3 ชิ้นเท่านั้น ได้แก่ Traction Motor, Reduction Gear, Inverter
  • กรณีลงทุนเพิ่มเติมตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป สามารถเลือกใช้ชิ้นส่วน สำคัญที่มีมูลค่าสูง ร่วมกับกลุ่มมูลค่าปานกลางได้ เช่น BMS, DCU, Regenerative Braking System เป็นต้น

นอกจากนี้ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ ดังนี้ ระบบ เบรกฉุกเฉินขั้นสูง, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบดูแลภายในช่องจราจร, ระบบเตือนการออกหรือเปลี่ยนช่อง จราจร, ระบบตรวจจับจุดบอด และระบบควบคุมความเร็ว

 

บอร์ด EV ลดภาษีหนุนผลิตรถยนต์ HEV - MHEV เก็บคงที่ 7 ปี เริ่ม 2569

 

2.มาตรการสนับสนุนรถยนต์ MHEV 

โดยเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า มีแรงดันไฟฟ้าในการขับเคลื่อนต่ำกว่า 60 โวลต์ และอาศัยเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่ ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับโลก บอร์ดอีวี ได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้

ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km 

  • การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10 
  • การปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 - 120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12

ทั้งนี้ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือ ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 - 2569 และไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 - 2571

รวมทั้งต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศ ตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรง ขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป

อีกทั้งต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ เช่นเดียวกับ เงื่อนไขของ HEV

 

บอร์ด EV ลดภาษีหนุนผลิตรถยนต์ HEV - MHEV เก็บคงที่ 7 ปี เริ่ม 2569

 

ขยายเวลาการผลิตชดเชยตาม มาตรการ EV3

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) บอร์ดอีวี ได้พิจารณาเรื่องการขยายเวลาการผลิตชดเชยตาม มาตรการ EV3 ซึ่งเป็นข้อเสนอจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้พิจารณาขยายเวลาเงื่อนไขการผลิตชดเชยสำหรับ ผู้ผลิตที่ได้รับเงินสนับสนุนตามมาตรการ EV3 ซึ่งเดิมกำหนดว่าต้องผลิตให้ครบถ้วนตามสัญญาภายในปี 2567-2568 เนื่องจากยอดขายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอยู่ในภาวะหดตัว จากปัญหาความเข้มงวดในการปล่อย สินเชื่อของสถาบันการเงิน และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือข้อเสนอดังกล่าว โดยพิจารณาสถานการณ์ตลาดรถยนต์ของไทยในปัจจุบันที่อาจมี ความเสี่ยงจากภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ซึ่งอาจนำไฃปสู่สงครามราคาที่รุนแรงมากขึ้น และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ

ดังนั้นบอร์ดอีวี จึงมีมติให้ปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการ EV3 ที่เดิมกำหนดให้ ต้องผลิตรถยนต์เพื่อขดเขยการนำเข้าในอัตราส่วน 1 : 1 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 1 คัน) ภายในปี 2567 หรือ 1 1.5 เท่า ภายในปี 2568

โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายเวลาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ไปผลิตชดเชย ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ EV3.5 ได้ (ผลิตชดเชย 2 เท่า ภายในปี 2569 หรือ 3 เท่า ภายในปี 2570) 

ทั้งนี้รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการขยายเวลาข้างต้นจะไม่ได้รับเงินอุดหนุน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าในส่วนที่นำเข้าหรือผลิต ภายใต้มาตรการ EV3.5 ก็จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดียวกัน จนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบตามจำนวนที่ได้รับสิทธิ ขยายเวลา และอนุญาตให้นำรถยนต์สำเร็จรูป (CBU) ที่นำเข้าภายใต้ EV3 ที่ยังไม่จำหน่าย ส่งออกไปต่างประเทศ โดยไม่นับเป็นยอดที่ผลิตขดเขย

เบรกขยายเวลานำเข้าเซลล์แบตเตอรี่

ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อเสนอการขอขยายเวลาการผ่อนผันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี ซึ่งต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศมากกว่าร้อยละ 40 สามารถนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่าของชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 15 จากเดิมที่จะ สิ้นสุดในปี 2568 เป็นสิ้นสุดในปี 2570 

ทั้งนี้บอร์ดอีวี มีมติไม่อนุมัติให้ขยายเวลามาตรการดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้อง กับนโยบายการเร่งให้เกิดการผลิตและใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และนโยบายเร่งดึงดูดให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับ เซลล์ในประเทศไทย

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

"ปัจจุบันตลาดรถยนต์โดยรวมจะติดลบ 20% ในปี 2567 แต่กลุึ่มที่บวกคือ HEV และ BEV จึงสะท้อนให้เห็นความต้องการของผู้บริโภคว่า HEV และ BEV เป็นประเภทที่คนยอมรับและมีแนวโน้มการเติบโตได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ในไทยแต่เป็นทิศทางในระดับโลก และไทยก็ไม่ได้มองแค่การผลิตเพื่อตอบโจทย์ตลาดในประเทศ แต่มองถึงการผลักดันใช้ไทยเป็นฐานการผลิตไปทั่วโลกด้วย" เลขาธิการบีโอไอ ระบุ