ความคืบหน้า ภายหลัง นายศุภโชค ศุภบัณฑิต พร้อมครอบครัว เข้าร้องทุกข์ กองปราบปราม ขอให้สวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ว่า กลุ่มบุคคล ที่ เข้ามา ตีสนิทกับคุณพ่อ วัย 75 ปี จนทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปแล้วประมาณ 50 ล้านบาท นั้น
โดยทางด้าน ผู้หญิง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีการเอ่ยชื่อถึง แต่ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงในประเด็นต่างๆ พร้อมกับนำภาพถ่าย ทะเบียนสมรส ภาพวันหมั้น ภาพวันที่มายื่นหนังสือถึง ผบก.ป. และ ผบช.ก. ที่กองบังคับการปราบปราม
รวมทั้งคลิปเสียงบางส่วนที่ ผู้หญิง กับ คุณพ่อของนายศุภโชค พูดคุยกันหลังจดทะเบียนสมรสแล้ว เผยแพร่ทางสื่อ
ล่าสุด นายศุภชัย ศุภบัณฑิต ลูกชายอีกคนหนึ่งของนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้ชี้แจง ในประเด็นต่างๆ ที่ ผู้หญิง รายนี้ ให้ข้อมูลพาดพิงครอบครัว ว่า
ในประเด็นที่ ผู้หญิงรายดังกล่าว อ้างว่าคุณพ่อ จะมายืมเงินแต่ทรัพย์ติดจำนอง เลยไม่ให้กู้ จึงตั้งข้อสงสัยกลับไปว่า ถ้าไม่เชื่อว่าคุณพ่อมีเงิน แล้วทำไมถึงมาอวดเช็คร้อยล้าน และสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็น อยากได้คุณพ่อเป็นสามี และปรากฏการมาเอาเงินกับทรัพย์สินอื่นจากคุณพ่อไป
ส่วนเรื่องการจดทะเบียน นั้น มองว่า การจดทะเบียนหย่า กับอดีตสามี และ จดทะเบียนสมรส กับคุณพ่อ ในวันเดียวกันนั้น เป็นสิ่งที่ผิดปกติหรือ ไม่ และมีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบจดทะเบียนสมรสใหม่ ในทันที ที่หย่าขาดจาก อดีตสามี
ส่วนอาคาร ที่ ผู้หญิงรายนี้ กล่าวอ้างว่า เป็นบ้านของเขา และมีคนบุกไปอุ้ม คุณพ่อ ก็ไม่เป็นความจริง
เพราะแต่เดิมผู้หญิงคนนี้ ให้คุณพ่อไปอยู่บ้านของเขาเอง แถววัดบัวขวัญ แต่ภายหลังมีการจ้างคนมาคุมคุณพ่อหลายคน จึงย้ายมาอยู่ อพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวแถววังหิน ซึ่งเป็นอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัว ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่ได้เปิดให้ใครเช่า
ส่วนคนที่ไปรับพ่อ คือ ลูกชายแท้ๆ และไปรับมาจากตึกของคนในครอบครัว ไม่ใช่บ้านของผู้หญิงคนนั้น
หนึ่งในเหตุผล ที่ต้องไปรับพ่อกลับ เป็นห่วงพ่อเพราะรู้ว่า ผู้หญิงคนที่พ่อไปจดทะเบียนสมรส เป็นคนที่มีข่าวบ่อยบ่อยตลอด และเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมา
ขณะที่ลูกไปรับคุณพ่อออกจากอาคารก็เดินจูงมือกันมาตามปกติไม่ได้มีการบังคับหรือ ข่มขู่ให้ คุณพ่อ เดินออกมาแต่อย่างใด คุณพ่อเดินขึ้นรถก่อนด้วย ประตูรถอีกฝั่งก็เปิดอยู่ เพราะถ้าไม่อยากไป ก็สามารถลงจากรถได้เลย
จากนั้นทาง ครอบครัว ได้ไปเอาตึกคืน พร้อมกับ นำป้ายห้ามเข้ามาติดไว้ เพราะตึกเป็นของรามสวีท แต่ ผู้หญิงคนนี้กลับ แอบอ้างทำนามบัตรเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อ บริษัทที่ตัวเองตั้งขึ้นมาอ้างว่าเป็นเจ้าของ ตึก
สำหรับเรื่องการแบ่งสมบัติ นั้น โดยส่วนใหญ่คุณพ่อจะถือหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์ในเกือบทุกบริษัท และ ครอบครัวอีก 5 คนก็ถือส่วนที่เหลือ
คุณพ่อเคยบอกความตั้งใจกับครอบครัวว่า ส่วนที่เหลือก็คงจะทยอยแบ่งให้กับคนที่เข้ามาช่วยดูแลแต่ละทรัพย์สินให้ถือเยอะขึ้น แต่ทางบ้านก็ไม่เคยรบเร้า ก็แล้วแต่เมื่อท่านเห็นว่าเวลาจะเหมาะสม
และแม้ว่าจะมีคุณแม่ พี่ชาย และน้องชาย ช่วยทำธุรกิจมาตลอด แต่คุณพ่อก็ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอยู่
ส่วนกรณีคลิปเสียงของผู้หญิงที่ปล่อยออกมา นั้น มองว่า คนที่อ้างว่า เป็นภรรยา อัดคลิปเสียงที่ให้คุณพ่อพูดลักษณะดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการล่วงหน้า หรือไม่ เพราะหากคุณเสียชีวิต ก็จะได้สมบัติของคุณพ่อ แบบนี้ไม่ได้รักกันจริง แต่น่าจะเป็นการแช่งให้ตาย ทั้งที่เพิ่งจดทะเบียนสมรสกัน