ภายหลังเหตุการณ์คนร้ายยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สารวัตร สารวัตรทางหลวง กลางงานเลี้ยงที่บ้านกำนันนก จังหวัดนครปฐม และมีนายตำรวจหลายนายเข้าร่วมนั้น
ล่าสุดมีรายงานว่า พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ลงนามหนังสือ คำสั่งกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ด้วยปรากฏในโซเชียลมีเดียว่า ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของนายประวีณ หรือ กำนันนก จันทร์คล้าย กำนันตำบลตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม และต่อมาพ.ต.ต.ศิวกร สายบัวถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต
โดยปรากฎข้อมูลจากสื่อมวลชลว่า มีข้าราชการตำรวจหลายนายร่วมรับประทานอาหารอยู่ในงานด้วย และมีข่าวปรากฏว่ามีชื่อ พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผู้กำกับการ สน.พญาไท ร่วมรับประทานอาหารอยู่ด้วย
ดังนั้น เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงอันที่ยุติว่า พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผู้กำกับการ สน.พญาไท ได้ปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้ เป็นประธานกรรมการ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีหน้าที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ทราบ ภายใน 7 วัน สั่ง ณ วันที่ 8 กันยายน พุทธศักราช 2566
บิ๊กโจ๊ก มั่นใจ “กำนันนก” ไม่รอดแน่ แม้พยานยังให้การไม่ตรงกัน
วันที่ 8 กันยายน 2566 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้า ในคดีที่คนร้ายก่อเหตุยิงตำรวจทางหลวงเสียชีวิตว่า สำหรับคดีดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ คดียิงสารวัตรทางหลวงในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ที่ได้โอนสำนวนให้กองบังคับการปราบปราม เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนแล้ว เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการวิ่งเต้นล้มคดี
ส่วนที่สองคือ คดีวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นความรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 7 ท้องที่เกิดเหตุ
และส่วนที่ 3 คือคดีเกี่ยวกับความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ โดยมีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนตนเองจะกำกับดูแลการสอบสวนในสองคดีหลัง แต่จะร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้สำนวนมีความรัดกุมมากที่สุด
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ เป็นการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่เป็นคนนอก ทั้งแม่บ้าน เจ้าของร้าน และพนักงานร้านโต๊ะจีน ประมาณ 6-7 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ คาดว่าจะมีจำนวนถึง 25 นาย และกำลังจะมีคำสั่งให้ตำรวจในที่เกิดเหตุ มาช่วยราชการก่อนเร็วๆ นี้ โดยเบื้องต้นตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ยังให้การไม่ตรงกัน
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เนื่องจากพยานหลักฐาน และตัวบุคคลมีความชัดเจนแล้ว แต่ยังจะต้องสืบสวนขยายผลไปถึงประเด็นอื่น ทั้งการทำลายพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ว่ามีหรือไม่ ขณะนี้ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และตรวจ DNA ของผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว
นอกจากนี้ ยังจะสืบสวนขยายผลไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับกำนันนกทุกราย และขยายผลในประเด็นการจ่ายส่วย ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐด้วย เพื่อเป็นการล้างบางอิทธิพลในพื้นที่ เพราะชื่อของกำนันนกนั้น มีชื่อเสียง นี้ได้ยินมานานแล้ว
อีกทั้งพบว่าตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกนาย ยังสังกัดตำรวจทางหลวง หรือเคยสังกัดตำรวจทางหลวงทั้งสิ้น ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ ให้การสนับสนุน หากตำรวจมีความเข้มแข็ง คนเหล่านี้ก็จะไม่เหิมเกริม และเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ส่วนการวิสามัญฆาตกรรมมือปืนนั้น ยืนยันว่าเป็นไปตามยุทธวิธีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อปกป้องตัวเอง เนื่องจากคนร้ายมีการต่อสู้ขัดขืน อีกทั้งสังคมยังมีช่องทาง ในการตรวจสอบการทำหน้าที่ของตำรวจ เจ้าหน้าที่คงไม่กล้าทำ ต้องให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วย และกรณีนี้ไม่ใช่การฆ่าตัดตอน เพื่อให้กำนันนกหลุดจากคดีนี้แต่อย่างใด เนื่องจากมีพยานหลักฐานแวดล้อม ที่สามารถระบุพฤติการณ์ของกำนันนกที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้อยู่แล้ว
ซึ่งหากพยานหลักฐานมีความชัดเจน ก็จะแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาข้อหาหนึ่งด้วย ส่วนจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาจ้างวานฆ่าได้หรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่เบื้องต้นมือปืนไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับสารวัตรผู้เสียชีวิต หากไม่มีผู้สั่งการ จะลงมือด้วยเหตุใด
ส่วนกรณีที่หลานของกำนันนกกล่าวว่า ไม่มีการเจรจาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย ขอเวลา 2-3 วันในการตรวจสอบข้อเท็จจริง สำหรับการตรวจสอบธุรกิจของกำนันนกนั้น ทราบว่าเบื้องต้นประกอบธุรกิจก่อสร้าง แต่ยังไม่พบเรื่องการพนันยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงกรณีที่มีข้อมูลว่า กำนันมีรถตำรวจคอยนำขบวนรถด้วย
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไป ควบคุมสอบปากคำของพยานแวดล้อมทั้งหมด ที่จังหวัดนครปฐมด้วยตัวเอง ในเวลา 10.00 น. และจะทำการตรวจค้นทั้งหมด ถือโอกาสล้างบาง และจะไม่หยุดอยู่แค่คดีนี้เท่านั้น คดีนี้เราต้องดูมูลเหตุในการก่อเหตุว่า ใครสั่งให้ยิง เพราะการที่มีการพูดคุยกัน ตอนนั้นผู้ยิงอยู่ด้านนอก คนยิงไม่รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้น จึงจำเป็นจะต้องไล่ความเชื่อมโยงว่า ใครเป็นผู้สั่งให้ยิง เมื่อไล่ความเชื่อมโยงได้แล้ว จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มต่อไป