เมื่อวันพุธที่ 16 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ได้มีมติสำคัญในการเห็นชอบมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 สำหรับปี 2568 โดยการบริหารจัดการที่ยกระดับจากปีที่ผ่านมา เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการสะสมของฝุ่นละอองอย่างมากในช่วงฤดูหนาว
นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า ภายหลังจากฤดูฝุ่นละอองและหมอกควันของปี 2567 สิ้นสุดลง กรมควบคุมมลพิษได้ทบทวนบทเรียนจากการดำเนินมาตรการที่ผ่านมา โดยได้สรุปผลและประเมินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันของปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักวิชาการในการระดมความคิดเห็นเพื่อยกระดับมาตรการรับมือในปี 2568
หนึ่งในมาตรการที่สำคัญคือการจัดทำแผนที่เสี่ยงการเผาและฝุ่น (Risk Map) ล่วงหน้า ซึ่งเป็นแผนการปฏิบัติงานเชิงรุกที่จะช่วยให้สามารถควบคุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ที่มักจะเกิดไฟป่าซ้ำซาก รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อย ซึ่งจะต้องได้รับการบริหารจัดการโดยการลงทะเบียนเกษตรกรและควบคุมการใช้ไฟในพื้นที่เหล่านี้
นอกจากนี้ กรมควบคุมมลพิษยังได้กำหนดมาตรการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง โดยมุ่งเน้นการควบคุมการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะและโรงงานในพื้นที่เสี่ยงสูง พร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด รวมถึงการจัดการฝุ่นที่เกิดจากการเผาในพื้นที่ชุมชนและริมถนน โดยเป้าหมายของปี 2568 คือการลดพื้นที่เผาไหม้ในพื้นที่ป่าลงร้อยละ 25 และลดการเผาในพื้นที่เกษตรลงร้อยละ 10-30
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังได้วางแผนการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนเริ่มฤดูหมอกควัน เพื่อจัดการปัญหาหมอกควันข้ามแดน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในประเทศไทย การประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านนี้เป็นการป้องกันการลุกลามของไฟป่าที่มาจากนอกพรมแดน และลดการแพร่กระจายของฝุ่นละอองข้ามประเทศเข้าสู่ไทย
นางสาวปรีญาพร กล่าวว่า การดำเนินการในปี 2568 จะต้องเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และการระดมทุนสนับสนุนจากทั้งสองภาคส่วนเพื่อผลักดันให้มาตรการเหล่านี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วและถูกต้องกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
นอกจากนี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อประเมินผลการดำเนินงานในปี 2568 โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการควบคุมค่า PM2.5 ในช่วง 24 ชั่วโมง ให้ไม่เกินค่าที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน มาตรการนี้จะถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัดทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงจากการเผาไหม้
กรมควบคุมมลพิษยังได้มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีในการควบคุมฝุ่น โดยได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลและศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังในหลายพื้นที่ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการติดตามสภาพอากาศและการสะสมของฝุ่นละอองในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถรับข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถปรับตัวและวางแผนชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
มาตรการเชิงรุกในครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการส่งเสริมการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน เพื่อช่วยลดการเดินทางและลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะในช่วงวิกฤต นอกจากนี้ ยังได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนป้องกันตนเองจากฝุ่นละอองโดยการสวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสฝุ่นในช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
ทั้งนี้ อธิบดีฯ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในปี 2568 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองน้อยที่สุด และเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยในอนาคต