วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา (Overlapping Claims Area: OCA) ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางการทูตและได้รับความสนใจในวงกว้าง โดย นางสุพรรณวษา โชติกญาณ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมบรรยายเพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงใน MOU 2544 รวมถึงการยืนยันว่า “เกาะกูด” ยังคงเป็นของไทยตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส โดย MOU ดังกล่าวไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนแต่อย่างใด
นางสุพรรณวษากล่าวถึงประเด็นสำคัญของ MOU 2544 ที่จัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางการเจรจาข้อพิพาทในพื้นที่ OCA โดยให้ความสำคัญกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ซึ่งเป็นแนวทางสากลที่ยึดหลักการเจรจาอย่างโปร่งใสและยุติธรรม โดยไม่ใช่การยอมรับสิทธิของอีกฝ่ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ MOU ยังได้กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายต้องหารือในสองประเด็นหลักคือ การแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วมอย่างควบคู่กัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว
ในประเด็น “เกาะกูด” อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยืนยันว่าพื้นที่นี้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย 100% ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสในอดีต ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ช่วยยืนยันสถานะของเกาะกูด การบรรยายในครั้งนี้ยังได้ชี้แจงว่า MOU 2544 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะนี้แต่อย่างใด แต่เป็นกรอบการเจรจาเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาทับซ้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไหล่ทวีปเท่านั้น
นางสุพรรณวษาได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกการทำงานของ MOU 2544 โดยใช้คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee หรือ JTC) ซึ่งมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหลากหลาย อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กองทัพ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการตั้งคณะ JTC แล้ว ยังมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Sub-JTC) และคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาในด้านการกำหนดเขตทางทะเลและด้านการพัฒนาร่วม ซึ่งกลไกเหล่านี้ช่วยให้การเจรจาสามารถดำเนินการได้อย่างมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว สามารถประชุมหารือได้บ่อยครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจและบรรลุข้อตกลงร่วมกันที่เหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้อธิบายถึงเงื่อนไขของ MOU 2544 ซึ่งกำหนดกรอบพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือที่ใช้ในการเจรจาแบ่งเขตทางทะเล และพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือที่ใช้ในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยทั้งสองประเด็นนี้จะต้องได้รับการหารือพร้อมกันและไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมในการดำเนินการในระยะยาว
นางสุพรรณวษาย้ำว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาพื้นที่ OCA ภายใต้ MOU 2544 จะต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทยและรัฐสภากัมพูชา ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนทั้งสองประเทศยอมรับผลการเจรจาและมีความมั่นใจในกระบวนการดังกล่าว ทั้งนี้ กต.ยืนยันว่าแนวทางดังกล่าวจะสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ
ในช่วงที่ผ่านมา มีบางฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2544 เนื่องจากกังวลว่าจะส่งผลให้ไทยเสียดินแดนในอนาคต แต่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงว่า ข้อตกลงนี้ได้รับการทบทวนจากหลายหน่วยงาน รวมถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งได้สรุปแล้วว่า MOU 2544 ยังคงมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย อีกทั้งยังเป็นกรอบการเจรจาที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นพื้นฐานในการดำเนินการเจรจาต่อไป
การเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงว่าประเทศไทยเคยประสบความสำเร็จในการแบ่งเขตและแบ่งผลประโยชน์ร่วมกับประเทศมาเลเซียในกรณีพื้นที่ทับซ้อนมาแล้ว โดยใช้หลักการแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันในสัดส่วน 50:50 ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม ดังนั้น แนวทางนี้อาจถูกนำมาใช้กับกัมพูชาเพื่อบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ปัญหา OCA เกิดขึ้นจากการประกาศอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2515 ซึ่งทับซ้อนกับพื้นที่ที่ไทยได้ประกาศอ้างสิทธิเช่นกันในปี 2516 สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการทับซ้อนคือเส้นการอ้างสิทธิของกัมพูชาผ่านไปในบริเวณเกาะกูดของไทย ซึ่งไทยไม่สามารถยอมรับการอ้างสิทธิดังกล่าวได้ ส่งผลให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการเจรจาร่วมกันเพื่อลดความตึงเครียดในระยะยาว
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยังได้กล่าวถึงเป้าหมายในการแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชาว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกับฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการเจรจาได้ในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะทาบทามให้มีการจัดตั้งองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกันในฝั่งกัมพูชา เพื่อให้การเจรจาเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องและมีความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย