5 มีนาคม 2566 - สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.เผยว่า วานนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่ามีการลักลอบเปิดร้านขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักศึกษาในบริเวณตลาดถนนคนเดิน ใกล้มหาวิทยาลัยชื่อดัง ย่านเขตประเวศ
ก่อนนายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.อุดมสุข ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบมีนายโอ๊ค กำลังเปิดร้านขายบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าหลายรายตามที่มีการแจ้งเบาะแสจริง พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อดำเนินการยึดบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายโอ๊คไปที่ สน.อุดมสุข เพื่อดำเนินคดีฐานขายบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จากการปฏิบัติการครั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถยึดบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ได้จำนวนทั้งสิ้น 2,400 รายการ รวมมูลค่าของกลางประมาณ 300,000 บาท
ทั้งนี้ สคบ. ขอเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า หากพบจะดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขายให้เด็กและเยาวชนหรือใกล้สถานศึกษา ถือเป็นการมอมเมาเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพระยะยาว
ผู้ครอบครอง "บุหรี่ไฟฟ้า"เสี่ยงติดคุก 5 ปี ปรับ 4 เท่า
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ตรวจสอบกฎหมายเกี่ยวกับ "บุหรี่ไฟฟ้า" ล่าสุด พบว่า "บุหรี่ไฟฟ้า" เป็นสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผู้ครอบครองหรือรับฝากไว้ จะมีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะกรณีผู้ขายหรือผู้ให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้เคยมีคำสั่งที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิด รวมทั้งโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง และมีปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจส่งผลกระทบเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ โดยมีค่าตอบแทนรวมถึงการซื้อมาเพื่อขายต่อ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ