วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 พรรคเพื่อไทย ได้ทวิตข้อความเกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภา ลงในทวิตเตอร์ "พรรคเพื่อไทย Pheu Thai Party"โดยเนื้อหาใจความมีดังต่อไปนี้
ประธานสภา ควรเปิดทางผลักดัน 'ทุกนโยบาย' ของ 'พรรคร่วมรัฐบาล' ให้สำเร็จ ไม่ใช่ผลักดันวาระของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น
ปัจจุบันที่เป็น 'รัฐบาลผสม' มีภารกิจสำคัญใน MOU ร่วมกัน ไม่ว่าประธานสภาจะเป็นใคร มาจากพรรคใด ก็ต้องทำภารกิจร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวงการเจรจาพรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การจัดสรรตำแหน่งจะคำนึงถึงความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก
หากจะยกกรณีที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ชนะโหวตทั้งนายกฯ และประธานสภามาโดยตลอด ไม่มีพรรคอันดับสองได้ นั่นเป็นเพราะเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเด็ดขาด ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฏร จึงชนะโหวตด้วยเสียงของ ส.ส.และผู้สนับสนุน
ในกรณีนี้ เราชนะมาด้วยกัน ก็ควรทำงานร่วมกันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะพรรรคร่วมรัฐบาล หลีกเลี่ยงที่จะใช้มวลชนกดดัน แต่ควรหาทางทำภารกิจเพื่อประชาชนร่วมกันให้สำเร็จ ประเทศจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 และ 119 ระบุว่า ประธานสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง โดยเป็นประธานของ ส.ส.ทั้งสภา ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลด้วย
ทางรัฐธรรมนูญและประเพณีปฏิบัติ ประธานสภา ต้องวางตนเป็นกลาง เป็นประธานของฝ่ายค้านและรัฐบาล รัฐธรรมนูญมาตรา116 จึงบัญญัติว่าประธานและรองประธานสภาผู้แทนจะเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองในเวลาเดียวกันไม่ได้
ประธานสภาจึงต้องผลักดันญัตติใดๆไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือประชาชนเข้าสู่สภา ไม่เลือกปฏิบัติ และหาทางลดอุปสรรคทั้งหลาย ตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา
การยกเหตุผลว่าจำเป็นต้องมีประธานสภาเพื่อไว้ผลักดันนโยบายของพรรคแกนนำ จึงเป็นความคิดผิดมาตั้งแต่ต้น เท่ากับวางบทบาทให้ประธานสภาไม่เป็นกลางมาแต่ต้น
ขณะที่ทางฟากฝั่งพรรคก้าวไกล ก็ออกมาเคลื่อนไหว ด้วยการทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า "45 ร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลพร้อมผลักดันในสภา "
ในสัญญาประชาคมที่พรรคก้าวไกลให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรายืนยันว่าหากได้เป็นรัฐบาล จะพยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดัน 300 นโยบายก้าวไกลให้สำเร็จ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้มีการเมืองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน มีสังคมที่เท่าเทียม เศรษฐกิจเติบโตอย่างเป็นธรรม มีระบบการบริหารราชการที่โปร่งใส มีนิติรัฐ นิติธรรม
ช่องทางในการผลักดัน 300 นโยบาย นอกจากอาศัย ‘กลไกอำนาจบริหาร’ ผ่านการบรรจุนโยบายเข้าไปในวาระ ‘ร่วม’ หรือ MOU จัดตั้งรัฐบาลให้ได้เยอะที่สุด เพื่อผลักดันนโยบายผ่านกระทรวงต่างๆ (ซึ่งจนถึงตอนนี้ ต้องรอการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่าพรรคไหนจะรับผิดชอบกระทรวงใด และวาระของแต่ละกระทรวงจะมีอะไรบ้าง)
อีกช่องทางหนึ่งซึ่งพรรคก้าวไกลพูดมาตลอดว่าจะใช้ ไม่ว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน คือการผลักดันนโยบายผ่าน ‘กลไกนิติบัญญัติ’ ของระบบรัฐสภาโดยผู้แทนราษฎรของพรรค โดยเรามีร่างกฎหมายอย่างน้อย 45 ฉบับ เตรียมยื่นต่อสภาฯ แบ่งเป็นด้านต่างๆ ดังนี้