จากกรณีที่นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรบรรจุญัตติด่วน เรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาผลประโยชน์ของการมีกฎหมายควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่เครือข่ายเอ็นจีโอต้านบุหรี่ก็ได้ออกมาอ้างถึงโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและเรียกร้องให้นายไผ่ ลิกค์ เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า โดยระบุว่าไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาใดๆ
ต่อกรณีดังกล่าวเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) และเพจ บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร ให้ความเห็นว่า นายไผ่ระบุให้มีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลประโยชน์ ของการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของหน่วยงานสาธารณสุขในหลายประเทศทั่วโลก ที่พิจารณาผลกระทบรอบด้านรวมถึงหลักฐานและผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมให้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น อย.สหรัฐ สาธารณสุขอังกฤษ นิวซีแลนด์ แคนนาดา
นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับการที่เครือข่ายต่อต้านบุหรี่ออกมากกดดันให้ส.ส.ไผ่ ลิกค์เร่งแบนบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นการบีบให้แนวทางการควบคุมยาสูบของไทยย่ำอยู่กับที่ เพราะหน่วยงานสาธารณสุขต่างประเทศต่างก็อนุญาตให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย
รวมถึงสนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ซึ่งการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายนั้นไม่ใช่การทำให้บุหรี่ไฟฟ้าเสรีแต่อย่างใด แต่เป็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าด้วยกฎหมายเพื่อให้มีความชัดเจนว่าใครสามารถซื้อขายได้ ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่ไหนได้ และสำคัญคือปกป้องเยาวชนของเรา ไม่ใช่ปล่อยให้ซื้อขายใต้ดินกันอย่างเสรีแบบทุกวันนี้
“เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าขอเป็นตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและผู้สูบบุหรี่ในไทยอีก 9.9 ล้านคนที่จะสนับสนุนให้ส.ส.ไผ่ ลิกค์และทุกพรรคการเมืองเร่งรัดให้สภาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาผลกระทบอย่างครบถ้วนรอบด้านไม่ว่าจะเป็นรายได้ภาษี สุขภาพประชาชน สิทธิผู้บริโภค มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการปกป้องเด็กและเยาวชนของชาติ”
นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายฯ กล่าวว่า เห็นด้วยว่าการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในไทยนั้นมีให้เห็นอยู่จริง ซึ่งก็นับเป็นผลข้างเคียงของการแบนที่ประเทศไทยทำมาร่วมแปดปี ยิ่งทำให้ชัดเจนว่าการแบนนั้นไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สามารถป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนได้
อีกทั้งกลับทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางซื้อขายออนไลน์ ประเทศไทยต้องยอมรับว่าการแบนบุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่สามารถปกป้องเด็กและเยาวชนได้ และยังเป็นการทำร้ายเด็กและเยาวชนทางอ้อมเสียอีก ซึ่งใครควรจะเป็นคนรับผิดชอบ การไม่ยอมให้มีการศึกษาเพราะกลัวคนจะรู้ความจริงอีกด้านใช่หรือไม่