วันนี้ (11 มกราคม 2567) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้การไหว้ เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทการทักทายและการแสดงความเคารพแบบไทย
ทั้งนี้เนื่องจากการไหว้เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรม ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งเราต่างคุ้นเคยและประพฤติอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน
โดยแม้การไหว้ จะเป็นสิ่งที่ประเทศไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รับมาจากอินเดีย ผ่านทางคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ที่ปรากฎในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ตั้งแต่สมัยทวารวดี แต่ประเทศไทย ก็ได้นำมาปรับและพัฒนา จนมีความหลากหลาย ความลุ่มลึก และความหมายในการแสดงออก ที่ทำให้แตกต่างกับประเทศอื่น ๆ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันการไหว้แบบไทย ได้เป็นแบบแผนปฏิบัติในการทักทายที่แพร่หลาย เป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บรรดาผู้นำชาติต่างๆ หันมาทักทายและทำความเคารพด้วยการไหว้ เพื่อเป็นการลดการสัมผัส ซึ่งทำให้การไหว้ได้กระจายไปทั่วโลกแล้ว
โดยมีความยินดีและขอชื่นชมที่ผลักดันการไหว้ เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพราะจะทำให้เกิดการส่งเสริมในด้านต่างๆอีกจำนวนมาก อย่าง ในอดีตที่มีการประกาศ ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติ ก็ทำให้เกิดการท่องเที่ยว รวมถึงมีการทำหนังแอนิเมชันเกี่ยวกับช้าง จนได้รับความสนใจจากต่างประเทศ ดังนั้น การไหว้ ที่แสดงถึงการให้เกียรติ นอบน้อม ภายหลังประกาศเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ก็จะเป็นการช่วยส่งเสริมด้านต่าง ๆ ให้กับประเทศไทยต่อไป
“เคยไปบุโรพุทธโธ ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีการแกะสลักประวัติพระพุทธเจ้า บนภูเขาทั้งลูก เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงออกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา แต่ปัจจุบัน บริเวณนั้น กลายเป็นศาสนาอื่นไปหมดแล้ว จึงถือว่าเป็นพัฒนาการของมนุษย์ ที่ขนาดสร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่สามารถยึดผู้คนไว้ได้
ดังนั้น การสร้างเอกลักษณ์ อย่างการไหว้ จะช่วยทำให้ยึดโยงความเป็นไทย ให้ได้นานที่สุด ซึ่งผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันผลักดัน โดยจากนี้ ก็จะนำมติที่ประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณากำหนดให้การไหว้ เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ต่อไป” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว