พบพิรุจจงใจวางเพลิงทำลายกากสารเคมี หลังเหตุ "ไฟไหม้รอบ 2" โรงงานอยุธยา

03 พ.ค. 2567 | 01:26 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ค. 2567 | 02:37 น.

พบพิรุจจงใจวางเพลิงทำลายกากสารเคมี หลังเหตุ "ไฟไหม้รอบ 2" โรงงานอยุธยา บก.ปทส. เผยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง เตรียมออกหมายจับหลังผู้ที่ทำสัญญาเช่าโกดังคนแรกไม่ยอมเข้าให้ปากคำ

จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ซ้ำสองที่โกดังเก็บกากสารเคมีอุตสาหกรรม ริมถนนสายอุทัย-ภาชี หมู่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นโกดังร้างที่มีผู้ลักลอบนำกากสารเคมีมาเก็บไว้กว่า 4,000 ตัน ถูกเจ้าหน้าที่ยึดเป็นของกลางในคดี 

ก่อนหน้านี้เคยถูกเพลิงไหม้ไปครั้งหนึ่งเมื่อคืนวันที่ 29 ก.พ. ล่าสุดเกิดเพลิงไหม้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค. ภายในโกดังที่4 และโกดังที่ 5 เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำสกัดนานหลายชั่วโมงยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้

กรรมาธิการ (กมธ.) อุตสาหกรรม สภาผู้แทน ราษฎร นำโดย นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ แถลงผลการประชุมเรื่องเหตุการณ์ไฟไหม้ โรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ว่า กมธ.อุตสาหกรรมได้เชิญหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องมาประชุมทั้ง กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รองผู้ว่าฯ ระยอง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตลอดจนนายอำเภอบ้านค่าย ซึ่งเพลิงไหม้ 3-5 วัน สร้างมลภาวะในพื้นที่ชุมชนรอบโรงงานอย่างหนัก โดยได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยลงทะเบียนกว่า 600 ราย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้ มีรายงานว่าควบคุมเพลิงได้แล้ว 100% แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือยังมีกลุ่มควันเกิดขึ้นบางส่วนที่อาคาร 4 ส่วนอาคาร 3 มี Aluminium dose 5 พันตัน เป็นลาวาที่พร้อมจะปะทุ ตอนนี้อยู่ในช่วงของการเฝ้าระวังและเข้าไปดูแลเยียวยา สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือประชาชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่ เพราะได้รับก๊าซพิษ
 

เมื่อถามว่ามีการสอบถามความเชื่อมโยงระหว่างโรงงานที่ระยอง และโรงงานอยุธยาหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ได้รับทราบว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งเชื่อมโยงกัน ดังนั้น วันที่ 15 พ.ค. จะออกหนังสือเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม ต้องรอดูจะว่าดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไรได้บ้าง ไม่เช่นนั้นจะเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ

นายอัครเดชกล่าวว่า เรื่องการทิ้งกากอุตสาหกรรมหรือสารเคมี ตามกฎหมายจะไม่มีโทษปรับ ดังนั้นทำให้ผู้ประกอบการไม่เกรงกลัว กมธ.อุตสาหกรรม จึงได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.แก้ไขให้โรงงานอุตสาหกรรม เพิ่ม ความผิดอาญา ให้จำคุก 5 ปี ปรับจาก 2 แสนบาท เป็น 1 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการ เกรงกลัวกฎหมาย จึงเป็นข้อสังเกตได้ว่าเหตุไฟไหม้ เป็นการเลี่ยงกฎหมายใหม่หรือไม่ กมธ.อุตสาหกรรมจึงมีความเป็นห่วง เราอยากให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าไปตรวจสอบโรงงานที่มีกากของเสียทุกแห่ง เพราะหากมีการวางเพลิงจริง จะเกิดการเลียนแบบ ทั้งนี้ ตนได้บอกท่านนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่ามันเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องเข้ามาดูเรื่องนี้ อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สำหรับโกดังที่เกิดเหตุมีทั้งหมด 5 โกดังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีมีเจ้าของร่วม 2 ราย เมื่อปี 2565 มีการติดต่อขอซื้อโกดังแต่ไม่สามารถซื้อได้จึงใช้วิธีการเช่าแทน มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับบุคคลและบริษัท หลังจากพบว่าภายในโกดังมีการลักลอบนำกากสารเคมีอุตสาหกรรมมาเก็บไว้ กรมโรงงานได้แจ้งความเอาผิดกับบริษัทเอกอุทัย ทั้งตัวนิติบุคคลและกรรมการ เมื่อปี 2565-2566 ตามพยานหลักฐานที่พบภายในโกดัง ทั้งรถบรรทุกที่จอดอยู่ และถังเก็บสารเคมีที่ระบุว่าเป็นของบริษัทเอกอุทัย ตำรวจ ปทส.รวบรวมหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฯ ต่อผู้เกี่ยวข้องกับการเช่า และบริษัทเอกอุทัย มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ให้การปฏิเสธ
 

เมื่อวันที่ 29 ก.พ. เกิดเพลิงไหม้ครั้งแรกที่โกดัง หลังเพลิงสงบเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุพบพยานหลักฐานหลายชิ้น มีการตั้งเวลาระเบิดเพลิงเพื่อให้เกิดเพลิงไหม้โกดังทั้งหมด แต่เกิดระเบิดเพียงโกดังเดียวและมีเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงได้รวดเร็ว จึงเชื่อว่ามีความพยายามที่จะเผาทำลายหลักฐานโดยการวางเพลิง ผ่านไปเพียง 2 เดือนก็มาเกิดเพลิงไหม้ซ้ำเป็นครั้งที่สองอย่างน่ามีพิรุธ เนื่องจากเกิดไฟไหม้ก่อนจะมีการประชุมเตรียมขนย้ายสารเคมีในโกดังเพียงวันเดียว ส่อเค้าว่าอาจเป็นการวางเพลิงเช่นกัน

สำหรับอัตราโทษครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ปรับไม่เกิน 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ถือเป็นข้อหาที่เล็กน้อยมาก แต่หากศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดจะต้องรับผิดชอบเรื่องการขนย้ายและกำจัดสารเคมีซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก ผู้กระทำผิดจึงเลือกที่จะใช้วิธีการเผาทำลายของกลางทั้งหมด

พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. กล่าวว่า กรณีโกดังเก็บสารเคมีที่ จ.พระนครศรีอยุธยาเกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นครั้งที่สอง บก.ปทส.อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกอุทัย จำกัด หลังพบว่าเป็นเจ้าของโกดังเก็บกากสารเคมีในพื้นที่ จ.ระยอง ที่เกิดเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้ และเอาผิดผู้ทำสัญญาขอเช่าโกดัง จะส่งสำนวนเพื่อดำเนินคดีกับทั้ง 2 กลุ่มใน 4 ข้อหา เช่น ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยโดยมิได้รับใบอนุญาต ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้เรียกกลุ่มผู้ต้องหาที่มี 5-6 คนมาสอบปากคำ พบว่า 1 ในนั้นคือผู้ที่ทำสัญญาเช่าโกดังคนแรกไม่ยอมเข้าให้ปากคำ หลังจากนี้จะขอหมายจับ และนำหมายจับดังกล่าวส่งพร้อมสำนวนให้อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อส่งฟ้องต่อไป