ประกาศเพิ่มหลักเกณฑ์ตรวจแอลกอฮอล์"เมาแล้วขับ"ขยายตรวจปัสสาวะ-เลือด

21 ก.ย. 2567 | 06:03 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2567 | 06:19 น.

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศเพิ่มหลักเกณฑ์ตรวจแอลกอฮอล์นักดื่มเมาแล้วขับ นอกจากตรวจจาก “ลมหลายใจ”แล้ว ให้ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ได้ด้วย อายุต่ำ20 ปี ยึดเกณฑ์ 20 มิลลิกรัม อายุ 50 ปีขึ้น ยึด 50 มิลลิกรัม

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ กฎกระทรวงการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่ พ.ศ.2567 

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 และมาตรา 142 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 นายกรัฐมนตรีออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิก กฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ.2537) และกฎกระทรวงฉบับที่ 21 (พ.ศ.2560) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

ข้อ 2 การทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือไม่ ให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่โดยวิธีตรวจวัดจากลมหายใจด้วยเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยการเป้าลมหายใจ (BREATH ANALYZER TEST) และอ่านค่าของแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยวิธีการทดสอบให้ปฏิบัติตามวิธีการตรวจสอบของเครื่องตรวจแต่ละชนิด

                        ประกาศเพิ่มหลักเกณฑ์ตรวจแอลกอฮอล์\"เมาแล้วขับ\"ขยายตรวจปัสสาวะ-เลือด

ข้อ 3 ในกรณีที่ไม่สามารถทดสอบผู้ขับขี่โดยวิธีตรวจวัดจากลมหายใจได้ ให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ชับขี้โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(1) ตรวจวัดจากปัสสาวะ

(2) ตรวจวัดจากเลือด

การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายตามวรรคหนึ่ง ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ขับขี่ ก่อนจึงจะดำเนินการได้

ข้อ 4  การทดสอบโดยวิธีตรวจวัดจากปัสสาวะตามข้อ 3 (1) ให้ทดดสอบจากตัวอย่าง ปัสสาวะของผู้ขับขี่ โดยในการเก็บตัวอย่างดังกล่าวต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

(1) จัดให้มีภาชนะที่เหมาะสมสำหรับเก็บตัวอย่างไสสาวะพร้อมฝาปิดให้ไห้ไห้แก่ผู้ผู้ขับขี่

(2) จัดให้ผู้ขับขี่ขับถ่ายปัสสาวะในสถานที่ที่เป็นส่วนตัว โดยมีการควบคุมการเก็บตัวอย่างเพื่อป้องกันมิให้มีการสับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลง

(3) จัดให้มีการระบุข้อมูลเกี่ยวกับตัวอย่างปัสสาวะบนฉลากของภาชนะตาม (1) และมีการปิดผนึกภาชนะดังกล่าวด้วย โดยให้ผู้ชับขี่ลงลายมือชื่อกำกับบนฉลากนั้น

                   ประกาศเพิ่มหลักเกณฑ์ตรวจแอลกอฮอล์\"เมาแล้วขับ\"ขยายตรวจปัสสาวะ-เลือด

เมื่อได้เก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ขับขี่ตามกรรคหนึ่งแล้ว ให้หัวหน้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานจราจร แล้วแต่กรณี ส่งตัวอย่างปัสสาวะไปยังโรงพยาบาล หรือสถานที่และภายในระยะเวลาที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด เพื่อให้ห้องปฏิบัติการทางเคมี ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวอย่างปัสสาวะดังกล่าว ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม

ข้อ 5 การทดสอบโดยวิธีตรวจวัดจากเลือดตามข้อ 3 (2) ให้หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานจราจร แล้วแต่กรณี ส่งตัวผู้ขับขี่ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดภายในระยะเวลาที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด เพื่อเก็บตัวอย่างเลือดด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งต้องไม่เป็นอันตรายอย่างอื่นต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม

                    ประกาศเพิ่มหลักเกณฑ์ตรวจแอลกอฮอล์\"เมาแล้วขับ\"ขยายตรวจปัสสาวะ-เลือด

ข้อ 6 ในกรณีที่ผลการทดสอบปรากฏว่า ผู้ขับขี่มีบริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเมาสุรา

(1) ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ในกรณี ดังต่อไปนี้

(ก) ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี

(ข) ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

(ค) ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้

(ง) ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

(2) ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ซึ่งมิใช่ผู้ขับขี่ ตาม (1)

ข้อ 7 ในการตรวจวัดจากลมหายใจหรือปัสสาวะ ให้เทียบผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ในร่างกายที่ได้รับจากเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยการเป้าลมหายใจ หรือผลทดสอบทางเคมีจากการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวอย่างปัสสาวะ แล้วแต่กรณีโดยใช้ปริมาณแอลกออล์ในเลือดเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ดังต่อไปนี้

(ก) กรณีตรวจวัดจากลมหายใจ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับ 2,000

(ข) กรณีตรวจวัดจากปัสสาวะ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับเศษ 1 ส่วน 1.3

 

ให้ไว้ ณ วันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2567

 

 

คลิกดูจากราชกิจจานุเบกษา