วันที่ 2 พ.ย. 2561 นายโน ควัง-อิล (Mr.Noh Kwang-il) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ได้ปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ให้มีความก้าวหน้าอย่างมากตลอดการดำรงตำแหน่งในไทย พร้อมทั้งแสดงความยินดีที่ในปีนี้ไทยและเกาหลีใต้ฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีหวังว่า ไทย-เกาหลีใต้ จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นเช่นนี้ต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความประทับใจที่ได้พบหารือกันครั้งแรก กับประธานาธิบดีมุน แชอิน แห่งเกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEM ที่กรุงบรัสเซลส์ และฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีเกาหลีใต้มาในโอกาสนี้ด้วย โดยเห็นตรงกันว่า ทั้ง 2 ประเทศ ควรขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติให้มีความก้าวหน้า โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งควรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมของกันและกัน และได้ไปมาหาสู่กันมากขึ้นในปีที่ผ่านมา และเน้นย้ำว่า ทั้งไทย-เกาหลีใต้มีนโยบายที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ โดยเฉพาะ New Southern Policy ของเกาหลีใต้กับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย อาทิ Thailand 4.0 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวถึงสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีและความสัมพันธ์ระหว่าง 2 เกาหลี ว่า มีพัฒนาการดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนเกาหลีใต้เสมอมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยส่งเสริมการสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของภูมิภาคและของโลก
ในช่วงท้าย ทั้ง 2 ฝ่าย หวังว่า ประเทศไทยและเกาหลีใต้จะสามารถกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2562 ที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียน ซึ่งรัฐบาลไทยยินดีจะร่วมมือกับเกาหลีใต้ในการขับเคลื่อนความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิดและสร้างสรรค์ต่อไป