นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กรณีขอให้ศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่
จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลครั้งแรกรวมระยะกว่า 5 เดือน
สำหรับพยานบุคคล 10 ปาก ที่คาดว่าศาลจะเรียกมาไต่สวนในวันที่ 18 ตุลาคมนี้นั้น นอกจากนายธนาธรแล้ว น่าจะมีนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร, หลานชายผู้รับโอนหุ้นทั้ง 2 คน, นางรวิพรรณภริยาของนายธนาธร, ทนายความของนายธนาธร, ทนายโรตารี, คนขับรถของนายธนาธร, เจ้าหน้าที่กกต. และตัวแทนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ส่วนกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้น หลังจากที่ศาลกำหนดวันนัดไต่สวนครั้งแรก พร้อมส่งสำเนาประกาศให้แก่คู่กรณีทราบไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนวันนัดหรือปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการศาล หากคู่กรณีจะอ้างตนเอง บุคคล และหลักฐานอื่นเป็นพยานหลักฐาน ศาลอาจกำหนดให้มีการตรวจพยานหลักฐานก่อนก็ได้โดยแจ้งคู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน แต่หากคู่กรณีจะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต้องยื่นก่อนวันที่ศาลกำหนดว่า จะมีคำวินิจฉัยไม่น้อยกว่า 7 วัน
ในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ เมื่อศาลออกนั่งพิจารณาและไต่สวนพยานแล้ว ตามขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาของศาลซึ่งมี 2 แนวทาง คือ 1. หากเห็นว่า ควรไต่สวนต่อไปจะกำหนดวันนัดไต่สวนครั้งต่อไปโดยแจ้งให้คู่กรณีทราบ และ 2. หากเห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้อาจยุติการไต่สวน
จากนั้นศาลจะประชุมปรึกษาเพื่อพิจารณาวินิจฉัย โดยตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะทุกคนต้องทำความเห็นส่วนตนเป็นหนังสือพร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุม จากนั้นให้ที่ประชุมปรึกษาหารือร่วมกันก่อนแล้วจึงลงมติ เมื่อมีมติแล้วองค์คณะอาจมอบหมายให้ตุลาการคนหนึ่งคนใดเป็นผู้จัดทำคำวินิจฉัยตามมติของศาลก็ได้
สำหรับคดีมีผู้ถูกร้องศาลจะแจ้งให้มาฟังและอ่านคำวินิจฉัย โดยคำวินิจฉัยของศาลให้มีผลในวันอ่าน ในกรณีที่ศาลมีคำวินิจฉัย คดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 มาตรา 212 มาตรา 213 หรือ มาตรา 231 (1) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการของศาล จัดทำประกาศผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว
ดังนั้น หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานบุคคลในวันที่ 18 ตุลาคมนี้แล้ว ศาลอาจนัดฟังมติและคำวินิจฉัยภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรือไม่อาจนัดฟังคำวินิจฉัยในวันรุ่งขึ้นก็เป็นได้ คาดว่าอย่างช้าไม่น่าเกินเดือนตุลาคมนี้ก็จะทราบผลคำวินิจฉัย
หากศาลตัดสินว่า มีความผิดตามร้อง นายธนาธร ต้องพ้นจากการเป็นส.ส. ทั้งยังอาจเข้าข่ายกระทำความผิดมาตรา 54 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.สมัครลงรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมาตรา 132 (3) ระบุว่า หัวหน้าพรรค หรือคณะกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น ปล่อยปละละเลยให้มีการ กระทำผิดโดยไม่ยับยั้ง ให้ กกต.ยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคการเมืองนั้น
มาตรา 151 ยังระบุว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งรู้ตัวว่า ไม่มีสิทธิแล้วยังสมัครรับเลือกตั้งต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาทและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี
“จะอยู่” หรือ “ไป” ผลจากคดีนี้คือเป็นเดิมพันครั้ง สำคัญของธนาธรและพรรค อนาคตใหม่ ที่น่าติดตามยิ่งนัก
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,514 วันที่ 17-19 ตุลาคม 2562