กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) หลัง 18 กรรมการบริหารพรรคลาออก ส่งผลให้นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง พ้นหัวหน้าพรรค และเตรียมผลักดัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคนั้น
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ตัวตนที่แท้จริงของพลังประชารัฐ” ระบุว่าหากยังจำกันได้ เราเห็นข่าวคราวเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐมาตั้งแต่เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา กินเวลายืดเยื้อยาวนานนับเดือนในขณะเดียวกับที่ประเทศยังวุ่นวายกับการรับมือการระบาดของไวรัส COVID-19 และต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากมายไปหมด
จนถึงวันนี้ได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่ากลุ่มไหนจะต้องตกอับไป กลุ่มไหนจะผงาดขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในเกมการเมืองครั้งนี้ก็ยังหนีไม่พ้นชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่คงรอคอยเพียงการได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ความขัดแย้งเพิ่งมาถึงจุดที่สุกงอมที่สุดภายหลังจากที่ พ.ร.ก. เงินกู้เพื่อแก้ปัญหา COVID-19 จำนวน 3 ฉบับเพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไป หนึ่งในนั้นมี พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท นำมาสนับสนุนทางการแพทย์และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 6 แสนล้านบาท และอีก 4 แสนล้านบาท จะนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
เงิน 4 แสนล้านบาทนี้เองที่กำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ก้อนโตที่กลุ่มต่างๆ หมายมั่นที่จะช่วงชิงมาไว้กับตัวเองให้ได้ เพราะนี่คือผลประโยชน์มหาศาลที่รัฐบาลใช้อำนาจตีเช็คเปล่ามากองไว้ตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงจุดนี้กลุ่มไหนที่ไม่มีอำนาจต่อรองก็จะถูกเขี่ยทิ้งไปอย่างไม่ปราณี
นี่จึงเป็นการเปลือยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพรรคพลังประชารัฐ ที่ท้ายสุดก็เป็นพรรคที่มีไว้เพื่อสืบทอดอำนาจให้กับ 3 ป. และชาว คสช. เท่านั้นจริงๆ ภาพที่เคยสร้างว่าเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสี่กุมาร สามมิตร (วันนี้เหลือแค่สอง) กปปส. พ่อค้าแป้ง ฯลฯ ในการปฏิรูปประเทศ เมื่อในวันนี้เสียงปริ่มน้ำไม่ใช่ข้อกังวลอีกแล้ว ก็ถึงเวลากลับสู่ความน้ำเน่าระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ อย่างที่เคยทำกันมา
โดยที่ 3 ป. ที่อยู่เบื้องบนก็คงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เพราะตัวเองนั่นแหละคือผู้ได้ประโยชน์เต็มๆ
สุดท้ายแล้วพลังประชารัฐก็เป็นเพียงที่ซ่องสุมของเผด็จการที่ไม่อยากสละอำนาจ กับนักการเมืองที่หวังทางลัดไปสู่ผลประโยชน์ โดยที่ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของประชาชน รัฐบาลที่มีพรรคแบบนี้เป็นแกนนำย่อมไม่อาจเป็นความหวังให้กับประเทศนี้ได้