วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.กองปราบปราม กล่าวถึงความคืบหน้าคดีการวางแผนชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ผู้ต้องขังคดีร่วมกันอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ว่า ที่ นายสุธน หรือ โจ ทองศิริ อายุ 42 ปี และ นายณัฐพล หรือ ท๊อป นรการ อายุ 30 ปี ลูกน้อง พ.ต.ท.บรรยิน อ้างว่าจะใช้แหกคุก เป็นเพียงคำให้การของผู้ต้องหาที่คุยโม้ว่าจะมีการใช้เฮลิคอปเตอร์ในการชิงตัว รวมถึงมีการระเบิดกำแพงล้มเสาธงชาติเท่านั้น
"ในประเด็นเหล่านี้พนักงานสอบสวนไม่ได้เชื่อตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และไม่ได้บันทึกเป็นปากคำไว้ และต่อมาทั้งคู่ก็ยอมรับแล้วว่ากุเรื่องขึ้นมาให้ดูน่ากลัว" พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ กล่าว
แต่ล่าสุด ทั้งคู่ยอมรับแค่ว่ามีการวางแผนเพื่อชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน บนทางด่วนระหว่างที่ พ.ต.ท.บรรยิน ออกมาขึ้นศาล และหากทำไม่สำเร็จก็ให้ไปอุ้มตัวภรรยาของ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อต่อรองให้ปล่อยตัว พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งทั้งสองกรณีตำรวจกองปราบมีหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดของ พ.ต.ท.บรรยิน ชัดเจน
พ.ต.อ.เอนก กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้เรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวไปแล้วหลายปาก โดยมีพยานแวดล้อมที่อยู่ในส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา 2 คน คือ นายสุธน และ นายณัฐพล ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ ในคดีลักทรัพย์ และกรรโชกทรัพย์ตามลำดับ ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นพยานปากเอก รวมถึงพยานในส่วนของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ซึ่งทั้งหมดให้การไปในทิศทางเดียวกันว่า พ.ต.ท.บรรยิน และพวก พยายามวางแผนก่อเหตุแหกคุกจริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เบื้องหลัง "บรรยิน" สู้คดีอุ้มฆ่า โวย "ถูกปฎิบัติเยี่ยงสัตว์"
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า คดีนี้จะมีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.บรรยิน เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะถือว่าได้กระทำความผิดรวม 4 ข้อหา ประกอบด้วย “เป็นผู้ใช้จ้างวานหรือสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำผิด, ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139, ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเพื่อหลบหนี ตามมาตรา 191 และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ตามมาตรา 309-310”
แม้ว่าการกระทำความผิดจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นการจ้างวานที่มีการจ้างสำเร็จไปแล้ว ซึ่งถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว มีโทษจำนวน 1 ใน 3 ของโทษทั้งหมด แต่ในส่วนของ นายสุธน และ นายณัฐพล นั้น รับว่าจ้างมาจาก พ.ต.ท.บรรยิน แต่ยังไม่ได้ลงมือก่อเหตุตามที่ได้รับว่าจ้างมา จึงถือว่าการกระทำความผิดยังไม่เกิดขึ้น พนักงานสอบสวนจึงกันไว้เป็นพยานเพื่อเอาผิดกับ พ.ต.ท.บรรยิน โดยไม่ได้แจ้งข้อหากับทั้งสองคน
พ.ต.อ.เอนก กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ตำรวจกองปราบยังได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาทั้งสองคน พบชัดเจนว่ามีการรับโอนเงินจาก พ.ต.ท.บรรยิน หลังจากรับว่าจ้างแล้ว ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ และยังพบว่ามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มบุคคลอื่นนอกจาก นายสุธน และ นายณัฐพล อีกด้วย ซึ่งกำลังตรวจสอบว่าจะมีผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติมหรือไม่
ส่วนการออกหมายเรียกพยานอีก 3 คน ได้แก่ ทนายความที่ประกันตัว นายสุธน, นายวรากรณ์ ตั้งภากรณ์ ลูกชาย พ.ต.ท.บรรยิน และ พ.ต.ท.นุกูล แสงศิริ อดีต ส.ส.เขต 4 จังหวัดนครสวรรค์ นั้น พนักงานสอบสวนได้ส่งหมายเรียกไปแล้วว่าให้มาเข้าพบเพื่อปากคำในฐานะพยาน คาดว่า ไม่เกินสัปดาห์นี้จะเข้ามาให้การ
ล่าสุด มีรายงานว่า พยานบุคคลทั้ง 3 ราย ที่พนักงานสอบสวนเรียกสอบสวนนั้น เบื้องต้นได้นัดหมาย พ.ต.ท.นุกูล และทนายความที่ประกันตัว นายสุธน ให้มาให้ปากคำในวันที่ 29 มิ.ย. ส่วน นายวรากรณ์ ให้มาพบพนักงานสอบสวนใน วันที่ 1 ก.ค. แต่จนถึงขณะนี้มีการตอบรับหมายเรียกกลับมาแค่ทนายความเพียงคนเดียวเท่านั้น อีก 2 คน ยังไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด