“พวกเรายินดีจะมีส่วนให้มีการปรับเปลี่ยน และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ได้เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาการตัดสินใจยื่นใบลาออกในวันนี้”
เป็นวลีเด็ดจากปาก นายอุตตม สาวนายน ที่วันนี้ กลายเป็นอดีตขุนคลัง หลังยื่นใบลาออกจากตำแหน่งพร้อม 3 กุมาร คือ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และ นาย กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รวมทั้ง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ที่ไม่ได้มายื่นใบลาออกด้วยตัวเอง แต่ได้แจ้งลาออกกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ไปแล้วก่อนหน้าเพียงวันเดียว
ถือเป็นการปิดฉากภารกิจฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ของนายสมคิด ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ 4 กุมาร ตลอด 6 ปี เป็นที่ประจักษ์ว่า นอกจากการทุ่มเทกับการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
สิ่งสำคัญอีกประการที่สังคมยอมรับคือ ทีมเศรษฐกิจชุดนี้ “ไม่มีข้อครหาเรื่องทุจริต” ตลอดการทำงานทั้งสมัยรัฐบาล คสช. และรัฐบาลประยุทธ์ 2/1
“บิ๊กตู่”ยอมรับเสียดาย
หากย้อนพิเคราะห์การสนทนาระหว่าง “บิ๊กตู่” และนายสมคิด เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นายกฯ ยอมรับว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก พร้อมกับยอมรับว่า “เสียดาย แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองจำเป็นต้องตัดสินใจ”
“สิ่งสำคัญการทำงานของผม ผมเป็นทหารมา ก็มีความผูกพัน แม้ แต่กับคนที่ทำงานมาด้วย เขาเรียกว่าความผูกพัน ดูสิทำงานมาตั้ง 5 ปี และสิ่งสำคัญวันนี้ถือว่าท่านทำสำเร็จมาในขั้นต้นกับผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การวางพื้นฐานดิจิทัลและอีอีซี”
ประโยคดังกล่าวน่าจะสะท้อนความรู้สึกของนายกฯ ต่อการตัดใจเฉือนทีมเศรษฐกิจออกจาก ครม.ชุดใหม่ ที่กำลังปลุกปั้นในขณะนี้
ก่อนที่จะทิ้งท้ายดังๆ ต่อหน้าสื่อมวลชนในระหว่างเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดศรีสะเกษว่า “เราก็จากกันด้วยดี ไม่มีการให้ร้ายอะไรซึ่งกันและกัน”
เว้นวรรคเพื่อเดินหน้า
ย้อนดูเส้นทางการเมืองของ 4 กุมาร นับตั้งแต่ร่วมรัฐบาล คสช. เมื่อเดือนกันยายน 2561 และเป็นแกนนำในการตั้งพรรคพลังประชารัฐ ได้สำเร็จเมื่อเดือนตุลาคมปีเดียวกัน นำมาสู่การขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ของนายอุตตม และนายสนธิรัตน์
ผลการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 พรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.มากเกินคาด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ส่วนสำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากการ นำเสนอนโยบายที่กินใจประชาชน การชู “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ และมือเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะภาคธุรกิจ
ผลงาน นายสมคิด ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ที่ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 จนถึง “ครม.ประยุทธ์ 2/1” ในเดือนกรกฎาคม 2562 ผลงานที่เด่นชัด คือ นโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 รวมโรดโชว์ดึงการลงทุนในเอเชีย โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ที่ นายสมคิด มีสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาล
ช่วงที่นายสมคิด เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จีดีพีขยายตัวได้ 4.1% ในปี 2561 สูงสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 2561 ขยายตัว 4.1% สูงสุดรอบ 6 ปี ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1850 จุด ช่วงต้นปี 2561 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นายสมคิดมักระบุว่า “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คือ พล.อ.ประยุทธ์ที่ตั้ง ครม.เศรษฐกิจ เป็นกลไกติดตามงานด้านเศรษฐกิจ” ตรงนี้เล่าที่กินใจ “บิ๊กตู่” ยอมรับว่า เสียดายและผูกพันกับทีมเศรษฐกิจชุดนี้
6 ปีกับความผูกพันและภาระความรับผิดชอบต่อประเทศที่ทำมาต่อเนื่อง จึงไม่แปลกที่ “สนธิรัตน์” ยอมรับว่า “พร้อมที่จะช่วยกันคิดเพื่อบ้านเมืองและเพื่อสังคม เราจะไม่ทอดทิ้ง หากมีอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ยินดีที่จะทำ ส่วนเรื่องการตั้งพรรคการเมืองนั้น ตอนนี้ยังไม่คิด ขอพักผ่อนก่อน”
แม้วันนี้ “4 กุมาร” ขอเว้นวรรค ยังไม่คิดเรื่องลงเล่นการเมือง แต่ในอนาคตไม่แน่ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด!!
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,593 หน้า 12 วันที่ 19 - 22 กรกฎาคม 2563