วันนี้ (1 พ.ย.63) ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “เขาจูบกันแน่แล้ว..” ระบุว่า
สองโครงการกำจัดขยะของ กทม. กำลังจะหลุดรอดการตรวจสอบโดยตัวแทนประชาชนที่ได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงการคลังตาม “ข้อตกลงคุณธรรม” และนี่อาจเป็นเหตุให้มาตรการป้องกันคอร์รัปชันของรัฐสิ้นความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะเกิดแบบอย่างให้เห็นแล้วว่า เมื่อไม่โปร่งใส ไม่ร่วมมือ หากถูกท้วงติง หรือจับพิรุธก็หาเงื่อนไขปฏิเสธไม่ยอมรับการตรวจสอบได้
สองโครงการที่กล่าวถึงคือ โครงการกำจัดขยะโดยเตาเผา เขตหนองแขม มูลค่า 6,712 ล้านบาท ยังไม่รวมรายได้จากค่ากระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเผาขยะ และโครงการกำจัดขยะ เขตอ่อนนุช มูลค่า 1,046 ล้านบาท ที่ประกาศผู้ชนะการประมูลเมื่อเดือนมกราคม และมีนาคม 2563 ตามลำดับ
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมามีโครงการขนาดใหญ่ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงคุณธรรม 116 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.82 ล้านล้านบาท ช่วยให้รัฐประหยัดงบประมาณได้มากถึง 23.37% ในโครงการที่จัดซื้อไปแล้ว (กรมบัญชีกลาง 30/10/63)
เห็นชัดว่า “ข้อตกลงคุณธรรม” เป็นมาตรการตามกฎหมายที่ไม่ยุ่งยาก ไม่สิ้นเปลือง สามารถป้องกันคอร์รัปชันตลอดขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างฯ ที่อาจเกิดจากการกระทำของผู้บริหารจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างและเอกชนคู่สัญญา ถือเป็นเครื่องมือของผู้บริหารที่บริสุทธิ์ใจ
ดังนั้น หากผู้บริหารไม่ร่วมมือหรือดิ้นรนถอนตัวออกไป ก็เท่ากับเป็นฝ่ายลดการ์ดป้องกันลงเสียเอง.. อย่างนี้แปลว่าอะไร
โครงการที่ถูกกำหนดให้เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม แม้ข้าราชการและเอกชนจะกีดกัน ไม่ได้ใส่ใจ แต่คณะผู้สังเกตการณ์ได้เริ่มทำหน้าที่พลเมืองดีแล้ว หาเอกสารและทำการวิเคราะห์จนเจอข้อสงสัยบางอย่างแล้วทำหนังสือทักท้วงสอบถามไป.. นี่คือเหตุให้ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมใช่ไหม
นโยบายรัฐบาลมีอยู่ชัดเจน กฎหมายก็เขียนไว้ แต่บางคนหาช่องรอดได้.. ท่านนายกฯ จะว่าอย่างไร
แผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศต้องการกำจัดคอร์รัปชันเชิงนโยบายเจอเรื่องแบบนี้จะจัดการอย่างไร.. ไม่ต้องยำเกรงกันเลยหรือ
บางทีคำพูด “เขาจูบกันแน่แล้ว..เขากอดกันแน่แล้ว” จากเพลงของคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ อาจเป็นคำตอบของเรื่องนี้ แต่ใครจูบปากใคร อะไรทำให้เขาจูบกัน ตรงนี้น่าติดตามครับ