“จุรินทร์”ซัดกลับ“เพื่อไทย”โกหกปมทุจริตถุงมือยาง

18 ก.พ. 2564 | 07:49 น.

 “จุรินทร์”ซัดกลับ“เพื่อไทย”โกหก อภิปรายเท็จโยงให้เสียหายปมทุจริตถุงมือยาง ลั่นไม่เคยสั่งการในที่ลับ ไม่มีวันยอมคนกล่าวหาว่าโกง แจ้ง 3 หน่วยงานอิสระ สอบเอาผิดทันที

วันนี้ (18 ก.พ.64) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงมือยางเทียมขององค์การคลังสินค้า หรือ อคส. หลัง นายประเสริฐ จันทรวงทอง ส.ส.จังหวัดนครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวหาปล่อยปละละเลยให้คนใกล้ชิดทุจริต

นายจุรินทร์ ชี้แจงว่า เรื่องนี้เคยตอบกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี โดยตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้ทำหน้าที่ตอบกระทู้สดแล้ว ซึ่งขอปฏิเสธไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวกับโครงการการดำเนินการแต่อย่างใดทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นแบบทางการไม่เป็นทางการหรือแอบสั่งการในที่ลับที่แจ้งใดๆ ก็ตาม

ผู้อภิปรายโกหกหลายประการในที่ประชุมสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่ตั้งกรรมการสอบ การอายัด การดำเนินคดี การดำเนินการเมื่อทราบเรื่องและการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งทั้งหมดนั้นตนได้ดำเนินการการแล้ว โดยเฉพาะทันทีที่ทราบได้ประสานงานเรื่องย้ายอดีตรักษาการ อคส.ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี

“เรื่องนี้ผมจะไม่ยอมไม่ว่าใครทุจริตโครงการ จะจัดการทั้งทางวินัย ทางแพ่งทางอาญา จนถึงที่สุด ตราบที่อำนาจหน้าที่และกฎหมายให้”

พร้อมระบุว่า ผู้อภิปรายกล่าวเท็จ กรณีมอบนโยบายเตรียมให้ทุจริตโดยให้ประธานบอร์ดไปดำเนินการซื้อขายถุงมือยาง โดยความจริงคือ นโยบายส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์ให้ผู้ส่งออก-นำเข้าได้ค้าขายยางออนไลน์ รวมทั้งตลาดถุงมือยางนั้นเป็นยางธรรมชาติที่ช่วยเกษตรกรชาวสวนยางแต่ไม่ใช่ถุงมือยางเทียมที่ส่อทุจริตซึ่งพูดอยู่ในสภาขณะนี้

นายจุรินทร์ ยังชี้แจงถึงสรุปการจัดการกรณีถุงมือยางเทียม อคส. เมื่อพบในวันที่ 14 กันยายน 2563 ก็ได้สั่งการ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ จากนั้น 15 กันยายน 2563 มีการตั้งคณะกรรมการสอบทันที ต่อด้วยวันที่ 17 กันยายน 2563 ได้ระงับการซื้อขาย และเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ได้เข้าแจ้งความต่อทั้ง ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) และ ปปง.หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

ก่อนที่วันที่ 23 กันยายน 2563 จะเข้าแจ้งความต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากนั้นทางผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ ก็ได้รายงานตน 4 ครั้งเพื่อทราบถึงการดำเนินการส่งเรื่องต่อองค์กรอิสระทั้งหมด ซึ่งกระบวนการของทางป.ป.ช.โดยประธาน ก็ได้มีการให้ข่าวถึงความคืบหน้าแล้ว โดยกระบวนการขององค์กรเหล่านี้เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็จะต้องถูกตรวจสอบ

นายจุรินทร์ ชี้แจงด้วยว่า อคส.เป็นรัฐวิสาหกิจไม่ใช่ส่วนราชการ ที่รัฐมนตรีจะมีอำนาจไปสั่งการทางนโยบายได้ อคส.เป็นรัฐวิสาหกิจเดียวของกระทรวงพาณิชย์ มีพระราชกฤษฎีกาโดยเฉพาะ เรียกว่า พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พุทธศักราช 2498 นี่คือกฎหมายแม่บทที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของทุกฝ่ายไว้ชัดเจน ใครไม่ปฏิบัติตามก็ผิดกฎหมาย รัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม ไม่สามารถทำนอกกฎหมายได้ และพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การครั้งสินค้ากำหนดความสัมพันธ์สี่กลไกหลักไว้ดังนี้คือ 1.ผู้อำนวยการและพนักงาน 2.กรรมการหรือที่เรียกว่าบอร์ดของ อคส. 3.รัฐมนตรี และ4.คณะรัฐมนตรี

โดยผู้อำนวยการหรือรักษาการผู้อำนวยการที่มีปัญหานั้นมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 23 ที่ระบุว่าผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่จัดการและดำเนินกิจการของอคส. ให้เป็นไปตามได้โยบายและข้อบังคับที่บอร์ดวางไว้  ไม่ใช่รัฐมนตรีวางไว้

สำหรับบอร์ดหรือกรรมการบริหาร มีหน้าที่ตามมาตรา 15 -17 -21 มาตรา 15 ระบุว่ามีองค์ประกอบ 11 คน คนมีอำนาจแต่งตั้งบอร์ดก็ไม่ใช่รัฐมนตรี แต่เป็นอำนาจคณะรัฐมนตรี  มาตรา 17 ให้บอร์ดมีหน้าที่วางนโยบาย คนที่มีหน้าที่วางนโยบาย อคส.ไปปฏิบัติ คือ บอร์ด เท่านั้น ควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของอคส.และให้อำนาจบอร์ดเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี

บอร์ดจึงมีอำนาจกำหนดนโยบายและมีอำนาจเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้อำนวยการในการแต่งตั้งถอดถอนโดยขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ส่วนคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่แต่งตั้งบอร์ดหรือถอดถอนบอร์ดออกจากตำแหน่งไม่ใช่รัฐมนตรี และมาตรา 20 คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดผลประโยชน์ตอบแทนของบอร์ดผู้อำนวยการและพนักงานทุกคน

“ทันทีที่ผู้อำนวยการคนใหม่เข้าไปรับทราบความไม่ชอบมาพากล ก็ได้รายงานให้ผมทราบ และไม่ได้แปลว่าหลังจากนั้น ผมจะไม่ทำอะไร ผมใช้อำนาจหน้าที่ที่ผมมีอยู่จำกัดดำเนินการร่วมกับผู้อำนวยการคนใหม่ในหลายประการ และได้ติดตามความคืบหน้าตลอด โดยผู้อำนวยการคนใหม่ได้รายงานมติคณะกรรมการกฎหมายให้มีมติเอกฉันท์เกี่ยวกับสัญญาโมฆะ และรายงานความคืบหน้าเรื่องที่ส่งทั้งดีเอสไอ ป.ป.ช. ปปง. และผมก็ได้สั่งการให้ดำเนินการเพื่อรักษาประโยชน์ทางราชการอย่างเคร่งครัด ในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ได้รายงานครั้งที่ 3 และ 1 ธันวาคม 2563 ก็แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อพิรุธในสัญญาที่เหลือ เมื่อพบแล้วก็ได้ทำรายงานต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติม เพื่อจะได้สะดวกในการเร่งรัดการไต่สวน”


 

รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ย้ำว่า รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัด ตามพระราชกฤษฎีกา อคส. ฉบับใหม่ ปี 2535 เพราะพระราชกฤษฎีกาใหม่ที่แก้ไขปี 35 เอารัฐมนตรีออกจากการเป็นประธานบอร์ด เพราะเดิมนั้นรัฐมนตรีไปเป็นประธานบอร์ด แต่เอารัฐมนตรีออกจากประธานบอร์ดให้ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานบอร์ด โดยให้ผู้มีความรู้ความชำนาญทางธุรกิจมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ เพื่อแยกการบริหารกิจการของ อคส.ออกจากการเมืองนี่คือเหตุผลที่รัฐมนตรีเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับบอร์ด และผู้อำนวยการและพนักงาน ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา

รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัดแค่ในมาตรา 13 -14 -35 โดยมาตรา 13 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่สั่งปฏิบัติราชการเหมือนกรมที่ผมดูแล และเพื่อการนี้รัฐมนตรีมีอำนาจ 3 ข้อ 1.มีอำนาจเรียกบอร์ดผู้อำนวยการหรือบุคคลใดใน อคส. มาทำ 3 เรื่อง 1.ให้ชี้แจงข้อเท็จจริง 2.ให้แสดงความคิดเห็น และ 3.หรือให้ทำรายงานยื่น นี่คืออำนาจของรัฐมนตรี

และรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเหนือกฎหมาย มาตรา 14 เรื่องที่ต้องเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกานี้ให้บอร์ดเสนอผ่านรัฐมนตรีไปยัง ครม.เพื่อพิจารณาตัดสิน แปลว่า รัฐมนตรีคือบุรุษไปรษณีย์โดยให้รัฐมนตรีเป็นตัวผ่านนำเรื่องเข้า ครม. มาตรา 35 นั้นให้บอร์ดทำรายงานเสนอรัฐมนตรีปีละ 1 ครั้ง และให้กล่าวถึงผลงาน กล่าวถึงคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของบอร์ด รัฐมนตรีไม่มีอำนาจให้นโยบาย บอร์ดเป็นผู้ให้นโยบายให้ชี้แจงรัฐมนตรีปีละหนึ่งครั้งว่าทำไมออกนโยบายและมีนโยบายอะไรบ้าง

“สรุปรัฐมนตรีมีอำนาจจำกัด แค่ให้บอร์ดชี้แจงแสดงความเห็นทำรายงานยื่นและเสมือนบุรุษไปรษณีย์ เพื่อให้ อคส.เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองในการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการ บอร์ดมีนโยบายอย่างไรรัฐมนตรี จะไปสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้ บอร์ดเป็นผู้บังคับบัญชาผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการทำตามนโยบายบอร์ด รับผิดชอบต่อบอร์ดในฐานะผู้บังคับบัญชา คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนบอร์ดและผู้อำนวยการ” นายจุรินทร์ ระบุ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: