วันที่ 8 พ.ค.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลดูแลคนไทยทุกคนทุกสิทธิ โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ให้แนวทางชัดเจนแก่ทุกส่วนราชการ โดยให้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทุกกรณี ทั้งให้ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด คัดกรองก่อนผ่าตัด การตรวจเชิงรุกตามดุลพินิจของแพทย์ ซึ่งหากผลตรวจไม่พบเชื้อ สามารถตรวจซ้ำได้ฟรีหลังกักตัวครบ 14 วัน แต่หากผลตรวจมีการพบเชื้อ จะได้รับการดูแลเข้ารับการรักษาฟรีในโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน Hospitel หรือโรงพยาบาลสนาม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เนื่องจากรัฐบาลจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนประชาชน
นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบที่อาจเกิดการฉีดวัคซีนตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยคุ้มครองตั้งแต่วัคซีนเข็มแรกที่ฉีดให้คนไทยเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2564 ให้ประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หากมีอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งแม้พบในสัดส่วนที่น้อย รัฐบาลพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือทุกกรณี ตามหลักเกณฑ์เงินจ่ายเพื่อช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีประชาชนไทยทุกคนที่ได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยแบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้1. ตาย/ทุพพลภาพถาวร ไม่เกิน 4 แสนบาท 2. เสียอวัยวะ/พิการ ไม่เกิน 2.4 แสนบาท 3. บาดเจ็บ/เจ็บป่วยต่อเนื่อง ไม่เกิน 1 แสนโดย สปสช. จะแต่งตั้งกลไกเพื่อให้สามารถจ่ายได้ภายใน 5 วัน หลังจากที่คณะกรรมการได้รับเรื่องแล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวให้ความมั่นใจว่า วัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย ได้ผ่านพิจารณาอย่างรอบคอบของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ทุกชนิดที่รัฐบาลจัดหาให้ประชาชน มีศักยภาพสามารถลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง ลดการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตด้วย ช่วยทำให้ประเทศไทยเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ซึ่งจะช่วยหยุดการระบาดของโควิด-19 เพื่อให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และเศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง