หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตร) กับพวก ผิดมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตโดยละเว้น ไม่ควบคุมดูแลหรือสั่งการให้มีการตรวจสอบ กรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) คัดเลือก บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ BULOG ประเทศอินโดนีเซียโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตร) กับพวก ผิดมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตโดยละเว้น ไม่ควบคุมดูแลหรือสั่งการให้มีการตรวจสอบ กรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) คัดเลือก บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ BULOG ประเทศอินโดนีเซียโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขั้นตอนหลังจากนี้ ทาง ป.ป.ช. จะส่งสำนวนไปยัง อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ต้องบอกว่ามติ ป.ป.ช.ครั้งนี้ไม่เกินความคาดหมายของสังคม ถึงขั้นมีการเปรียบเทียบ กรณีของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ใกล้เคียงกับกรณี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ที่โดนศาลสั่งจำคุกยาวนานถึง 48 ปี คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีอันโด่งดัง
กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์จะเดินตามรอย บุญทรง หรือไม่ น่าติดตามยิ่งนัก...
สายตรงตระกูล“ชินวัตร”
สำหรับ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ชื่อว่าเป็น “สายตรง” ของ นายทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงอ้อ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ รวมทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะมีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับ “ตระกูลชินวัตร” ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ
ไม่แปลกที่เขาจะถูกวางตัวให้ลงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ตั้งแต่เริ่มของการฟอร์มรัฐบาล ในปี 2544 และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในปี 2555
หลังรัฐบาลบริหารประเทศมาได้ระยะหนึ่ง ขณะที่นายกิตติรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างหนักจากการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวปีแรก รัฐบาลถูกมองว่าพยายามเสกตัวเลขขาดทุนจำนำข้าวตํ่ากว่าเป็นจริง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมายืนยันว่า ขาดทุนไม่ถึง 2.6 แสนล้านบาท แต่ไม่นำตัวเลขขาดทุนแท้จริงมาหักล้าง
นอกจากนั้น กิตติรัตน์ ได้อ้างข้อมูลตัวเลขเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่แถลงต่อสื่อมวลชนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จนถูกเรียกว่าเป็น “โกหกสีขาว” ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย จนนำไปสู่ประเด็นหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
ช่วงนั้น เก้าอี้ขุนคลังของกิตติรัตน์ เริ่มสั่นคลอนไปพร้อมๆ กับพิษโครงการรับจำนำข้าวปีแรก โดยมีกระแสข่าวจะถูกปรับออกจาก ครม. บ่อยครั้ง เนื่องจากถูกมองว่า การบริหารงานด้านเศรษฐกิจไม่เป็นรูปร่าง ไม่สามารถผลักดันนโยบายออกมาได้เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่รอดจาก “โผปรับครม.” ทุกครั้ง ก็เพราะได้รับความไว้วางใจจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อไทย
นอกจาก กิตติรัตน์ จะได้ความไว้วางใจนั่งเก้าอี้ใหญ่และบทบาทสูงด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลแล้ว ยิ่งลักษณ์ ยังดัน กิตติรัตน์ ให้นั่งเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจจากที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2555
แม้สิ้นสุด “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วยบารมี “นายใหญ่” และ “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” ยังผลักดันให้กิตติรัตน์ ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ให้เป็น รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนในพรรคเพื่อไทย แกนนำหลายคนเริ่มทยอยโบกมือลาพรรคเพื่อไทย หลัง 2 พี่น้องชินวัตร ต้องหลบหนีคดีไปพำนักต่างประเทศ
วันที่ 25 กันยายน 2563 กิตติรัตน์ ลาออกจากกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ตามคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ที่ลาออกไปก่อนหน้าแล้ว โดยโพสต์เฟซบุ๊กว่า“ท่านทำงานทุ่มเทเพื่อประชาชน เป็นแบบอย่างที่ยืนยันว่าคนของพรรคเพื่อไทยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง อยู่ในหน้าที่ใดก็ทุ่มเทเพื่อประชาชนได้ ผมในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์คนหนึ่ง ก็พร้อมพ้นหน้าที่พร้อมท่านประธานฯเช่นกัน”
ในเดือนตุลาคม 2563 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย กิตติรัตน์ ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ยังนั่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง และ ประเสริฐจันทรรวงทอง เป็นแม่บ้านพรรค
11 ธันวาคม 2563 กิตติรัตน์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kittiratt Na Ranong ระบุว่า“ผม เพื่อไทย ทั้งกายใจ ครับ”
ล่าสุด ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ของสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม-2 มิถุนายน ที่ผ่านมา กิตติรัตน์ นั่งหัวโต๊ะนำทีมเศรษฐกิจพรรค ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงการจัดสรรงบประมาณภายใต้ข้อกล่าวหา “รัฐบาลประยุทธ์” ในภาวะวิกฤติ มีความบิดเบี้ยว เอื้อผลประโยชน์กับพวกพ้อง
เส้นทางการเมือง“กิตติรัตน์”
กิตติรัตน์ ณ ระนอง เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2501 การศึกษาปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นน้องชายของ กิตติพงษ์ ณ ระนองอดีตเอกอัครราชทูต
เคยเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังพ้นตำแหน่งได้เป็นกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในปี 2549-2555
เป็น รองผอ.สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยหลายชุด
เข้าสู่เวทีการเมืองครั้งแรกกับพรรคเพื่อไทย ปี 2554 ในเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อในเดือนมกราคม 2555 นั่งเป็นขุนคลัง
วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องในการโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยขาดความชอบธรรม
ในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2562 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 11 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทย มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
คดีนี้ หาก กิตติรัตน์ ถูกศาลสั่งจำคุก เช่นเดียวกับกรณี บุญทรงพรรคเพื่อไทยจะขาด “ขุนพลด้านเศรษฐกิจ” คนสำคัญ เดือดร้อน
“เจ้าของพรรคเพื่อไทย” ต้องหา “มือเศรษฐกิจ” คนใหม่เข้าทดแทน
สนามเลือกตั้งสมัยหน้า พรรคเพื่อไทย อาจต้องปรับกลยุทธ์ไม่ใช่น้อย...
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,693 หน้า 12 วันที่ 4 - 7 กรกฎาคม 2564