นายกิจประเสริฐ นพรัตน์ กรรมการกฎหมายและการเมืองพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) ซึ่งลงนาม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
มีสาระสำคัญคือ การล็อกดาวน์กรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา) มีผล 28 มิ.ย. 2564 จนถึงวันนี้ คนตัวเล็กโดยเฉพาะในธุรกิจอาหาร และแรงงานก่อสร้างได้รับผลกระทบเต็มๆ จากนโยบายที่ออกมาโดยไม่คิดให้รอบด้านของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ออกคำสั่งสายฟ้า แต่มิได้วางแผนชดเชยหรือเยียวยาประชาชน
หลังออกมาตรการดังกล่าว ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 6,087 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 61 ราย นับเป็น New High (ยอดสูงสุดรายวันทั้งป่วยและตาย) สิ่งที่รัฐต้องทบทวน คือการล็อกดาวน์ดังกล่าวเป็นการสะกัดกั้น หรือ เร่งการแพร่ระบาดของโควิดไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า มีแรงงานอีสานในภาคกลางอยู่ราว 2.8 ล้านคน (กรุงเทพ 1.2 ล้านคน) ขณะที่แรงงานอีสานที่อยู่ในภาคเหนือและภาคใต้มีอยู่เพียง 1.3 แสนคน และ 0.9 แสนคนตามลำดับ การเร่งขับแรงงานออกนอกพื้นที่กรุงเทพโดยไม่ได้วางแผนหรือมีมาตรการรองรับที่ชัดเจนรัดกุมจึงเป็นการดำเนินนโยบายที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิดเป็นอย่างยิ่ง
การที่ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า “การล็อกดาวน์ กทม. สามารถช่วยลดการแพร่ระบาดโควิดได้แน่นอน รวมทั้งแก้ไขปัญหาเตียงไม่พอ” จึงเป็นคำพูดที่สะท้อนความตื้นเขินของวิสัยทัศน์ของรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างน่ากังวลท่ามกลางมหาวิกฤตินี้
นายกิจประเสริฐ ระบุว่า “ผมในฐานะคนอีสานคนหนึ่ง ต้องการชี้ให้รัฐบาลได้เห็นว่าหลายครอบครัวชาวอีสานยังชีพด้วยการเกษตร แต่ก็เจอภัยแล้ง เจอน้ำท่วม พี่น้องชาวอีสานจำนวนหลายล้านจึงมาทำงานในภาคบริการและแรงงานในกรุงเทพเพื่อส่งเงินเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัว แต่พอเจอมาตรการรัฐแบบนี้ หลายคนตั้งตัวไม่ทัน จากการสัมภาษณ์พี่น้องชาวอีสานที่ทำงานในภาคบริการและแรงงานหลายคนระบุว่าไม่ได้รับการชดเชยเยียวยาจากรัฐเลย”
ขณะนี้ฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีความเปราะบางเป็นอย่างมาก เพราะนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดครองอำนาจมาเป็นเวลากว่า 7 ปี รัฐบาลไม่มีศักยภาพในการหาเงิน จึงต้องกู้ จนหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนแตะระดับ 54.28% และ 89.3% ของ GDP ตามลำดับ
ในขณะที่มีมหาวิกฤติโควิด วัคซีนฉีดไม่ครบ ยุทโธปกรณ์รบพร้อม หมอไม่พร้อม ไทยไม่ชนะ คนตกงานราว 9 ล้านคน ร้านอาหารปิดนับแสนราย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้นแท่นอันดับ 1 ของโลก
"รัฐบาลได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไร้ศักยภาพในการจัดการกับวิกฤตินี้ ท่านต้องยอมถอย และเปิดโอกาสให้คนเก่ง มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศต่อไป” นายกิจประเสริฐ ระบุ