ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ ห้องประชุม ใหญ่ศาลฎีกา มีวาระการประชุมมีวาระการประชุมคณะกรรมการตุลาการครั้งที่ 23/2564 โดยก่อนการลงมตินางเมทินี ชโลทร ประธานศาลฎีกา ได้ออกจากที่ประชุมเนื่องจากก่อนหน้านี้เคยถูกนายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1
ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริต และ ประพฤติมิชอบกลาง ผลการประชุมคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) โดยมี นางวาสนา หงส์เจริญ รองประธานศาลฎีกา ดำเนินการเป็นประธานที่ประชุมแทนชั่วคราว
เกี่ยวกับวาระการพิจารณาว่านายปรเมษฐ์จะได้ไปดำรงตำเเหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่โดย ผลการลงมติครั้งแรก ก.ต.มีมติ 7 ต่อ 7 เสียง ทำให้ประธานในที่ประชุมต้องลงมติชี้ขาดว่า ไม่เห็นชอบ 8 ต่อ 7 ให้นายปรเมษฐ์ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสนั้น
นายปรเมษฐ์ กล่าวว่า "ขอขอบคุณ ก.ต.7 ท่านเป็นอย่างสูงที่ให้ความเป็นธรรม ส่วนก.ต.อีก 7 ท่านที่มีส่วนในการพิจารณาแต่งตั้งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสนั้น ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ฉบับที่ 4 พ.ศ.2560 มาตรา 6/1 มาตรา8/1 และมาตรา 9
เพราะการได้รับความเสียหายเช่นนี้ ยากที่จะเยียวยาในภายหลัง โดยตนจะพิจารณาใช้สิทธิ์ตามกฎหมายและสิทธิทางศาลต่อไป
เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายดังกล่าวแล้วต้องแต่งตั้ง ให้ ข้าราชการตุลาการผู้นั้นเข้าดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ในกรณีที่ใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องดำเนินคดี เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 25 และมาตรา 4 คือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิเสรีภาพได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เเละปวงชนชาวไทยได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเสมอภาคกัน
ส่วนกรณีที่จำเลยในคดีหมายเลขคดีดำ อท84/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 (นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรรมการ ป.ป.ช.และอัยการสูงสุด (พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.จำเลยที่ 1 น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.จำเลยที่ 2 นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด จำเลยที่ 3) )
กระทั่งมาร้องขอโอนคดี ตนในฐานะอธิบดี เเละในฐานะเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน มีความเป็นอิสระ ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เเต่ถูกคำสั่งให้ย้ายไปช่วยราชการ และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดำเนินการสอบสวน โดย ความเร่งรีบเเละด่วนสรุป ภายในไม่กี่วัน การดำเนินการดังกล่าวกระทำโดยไม่ชอบ และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน แล้วเสนอสั่งพักราชการยังเร่งรีบ ด่วนสรุปด้วยความรวดเร็วไม่เคยปรากฏเช่นนี้มาก่อน
"การที่ผมไม่ได้รับการ แต่งตั้งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในครั้งนี้ ทั้งที่รับราชการ มาเป็นเวลากว่า 30 ปีในศาลยุติธรรม ดำรงตำแหน่งต่างๆมาหลาย ตำแหน่ง คือผู้พิพากษา หัวหน้าศาล จังหวัดนครสวรรค์ ,เลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค 2 ,ผู้พิพากษา หัวหน้าคณะ ในศาลอาญา ,รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ,ผู้พิพากษา หัวหน้าคณะ ในศาลอุทธรณ์ คดีชํานัญพิเศษภาษี ,ผู้พิพากษา หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ,ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ภาค 3 และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบภาค 1
การ ที่ ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาโดยตลอดนั้น เห็นว่า น่าจะมีการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับ การดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น ,การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง, กรณี เสนอพักราชการข้าราชการตุลาการ ศาลยุติธรรม ,คำสั่งให้ไปช่วยราชการชั่วคราวโดยข้าราชการตุลาการไม่ยินยอม และการพิจารณาดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมยุติธรรมแก่ผู้พิพากษา ตลอดทั้ง เป็นแนวบรรทัดฐานและมาตรฐานแก่ ผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม
"ในกรณีคดีหมายเลขคดีดำที่อท.84/2563 ท่ีมีการร้องเรียนตนว่าเเทรกเเซงคดี จึงขอให้ย้ายตน รวมทั้งการที่ประธานศาลฎีกาลงนามตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม(คณะกรรมการคือ นายอนุวัตร มุทิกากร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา น.ส.มรกต วัฒนรุ่งเรืองยศ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ นายนรินทร์ ทองคำใส รองเลขานุการศาลฎีกา)มาสอบสวนข้อเท็จจริงในการร้องเรียนของจำเลยบางคนในคดีหมายเลขคดีดำ อท.84/2563 โดยไม่ชอบ
เป็นการรับฟังพยานหลักฐาน เพียงฝ่ายเดียว รีบร้อน เร่งด่วนด่วนสรุปเพียงไม่กี่วัน โดยนำพยาน หลักฐานต่างๆที่เป็นผลร้ายมารับฟังด่วน สรุป เเละยังไม่ได้ฟังตนชี้แจงและนำพยานหลักฐานต่างๆเข้าสืบแก้ในข้อที่เป็นผลร้าย โดยไม่ชอบตามประกาศคณะกรรมการ ตุลาการศาลยุติธรรมนั้น หากพยานใดให้ถ้อยคำที่เป็นผลร้าย บิดเบือนไม่ตรงตามความเป็นจริง ตนจะดำเนินการตามกฎหมายและใช้สิทธิทางศาลต่อไป"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าข่วงที่ผ่านมานายปรเมษฐ์ได้ฟ้องประธาน ศาลฎีกาสองคดีคือ คดีเเรกในฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และคดีที่สอง ตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ มาตรา 45 ที่ระบุว่าในการประชุมกต.ห้ามมิให้กรรมการ ผู้มีส่วนได้เสีย ในเรื่องพิจารณาเข้าร่วมประชุมและลงมติในเรื่องนั้นเพราะโดยปกติ กรรมการผู้มีส่วนได้เสียย่อมต้องรู้ดีว่าย่อม ไม่สมควรเข้าไปประชุมและลงมติที่เป็นผลร้ายแก่คู่กรณีที่มีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น
นอกจากนี้ นายปรเมษฐ์ยังได้ฟ้องคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น (นายอนุวัตร นส.มรกตเเละนายนรินทร์)ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และได้ฟ้อง นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการปปช .ที่ศาลจังหวัดสระบุรีในฐานความผิดดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณา พิพากษา คดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198