นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าการดำเนินการซื้อหุ้นอินทัชของกัลฟ์เกิดขึ้นก่อนเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งภายหลังเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี ได้ระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหา เอื้อประโยชน์ต่อไทยคม โดยในวันที่ 10 กันยายน 2564 ไทยคมจะต้องส่งมอบทรัพย์สินให้รัฐ 4 ดวง คือ ไทยคม 4 ,ไทยคม 6 , ไทยคม 7 และไทยคม 8 แต่เกิดกรณีข้อพิพาทไทยคม 7 และไทยคม 8 ซึ่งไทยคมระบุว่าไม่ได้อยู่ภายใต้สัมปทาน เป็นการดำเนินการภายใต้กรอบของการรับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งขณะนี้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามขั้นตอนอนุญาโตตุลาการ ดังนั้นจึงเหลือดาวเทียมที่ส่งมอบ 2 ดวงคือไทยคม 4 และ ไทยคม 6 ในวันที่ 10 กันยายน 2564 ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด หรือ เอ็นที เป็นผู้บริหารในวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา
โดยในการโอนทรัพย์สินไทยคมนั้นโอนมาเฉพาะตัวควบคุมดาวเทียมมาให้ ไม่ได้ส่งสถานีภาคพื้นดิน เกตเวย์ หรือเทเลพอร์ตเซอร์วิส ซึ่งสถานีภาคพื้นดินยังเป็นของไทยคม โดยในการทำธุรกิจดาวเทียมยังใช้สถานีภาคพื้นดินส่งสัญญาณไทยคม ซึ่งเอ็นทีต้องเช่าใช้สถานีภาคพื้นดินของไทยคม ขณะที่ไทยคม 4 นั้น ผู้ใช้บริการ 80% เอ็นทีเป็นบริษัทตั้งใหม่ ไม่มีตัวแทนหรือพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ ก็ได้แต่งตั้งไทยคม เป็นตัวแทนทำตลาดต่างประเทศ ส่วนอีก 20% เป็นลูกค้าในประเทศ ซึ่งเอ็นที ได้ดำเนินการติดต่อตรงไปยังลูกค้าทุกราย ส่วนไทยคม 6 ซื่งเป็นดาวเทียมบรอดแคสนั้น 34% เป็นลูกค้าต่างประเทศ ก็ให้ไทยคมเป็นตัวแทน หรือพาร์ทเนอร์ดูแลลูกค้าต่างประเทศ
ทั้งนี้ไม่ได้ให้สัมปทานต่อหรือเอื้อประโยชน์กับไทยคม โดยมอบนโยบายไป ผู้ใช้บริการต้องได้บริการต่อเนื่อง ถ้ามีความร่วมมือกับไทยคมได้ก็ทำ ถ้าดำเนินการเองได้ก็ทำ และสิ่งสำคัญจะต้องคุ้มครองค่าบริการให้กับผู้ใช้บริการ ส่วนกรณีที่กล่าวหาว่า ไม่เปิดให้มีผู้ให้บริการรายใหม่นั้น กสทช. ได้เปิดประมูลวงโคจรดาวเทียม ซึ่งมีผู้ยื่นรายเดียว คือ ไทยคม ซึ่งผมได้ทำหนังสือยื่นไป กสทช. เห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะมีผู้ยื่นประมูลรายเดียวให้ชะลอไปก่อน ท้ายสุด กสทช. ก็เลื่อนการประมูลออกไป จะเห็นว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์กับไทยคม ส่วนกระบวนการตั้งอนุญาโตตุลาการ เป็นเรื่องของอัยการสูงสุด ผมไม่ได้เข้าไปแทรกแซง เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
ส่วนเรื่องข่าวปลอมนั้น โซเชียลมีเดีย เต็มไปด้วยสิ่งผิดกฎหมาย ผมต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การดำเนินการทั้งหมดเป็นเรื่องดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ได้เอามาใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง กระบวนการดำเนินการปิดกันเว็บไซต์นั้นอยู่ภายใต้การพิจารณาของศาล ยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลสั่งระงับการเผนแพร่
“ภารกิจหลักของผมในการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีดีอีเอส คือปกป้องสถาบันหลักของชาติ ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่กำลังถูกบ่อนทำลาย โดยใช้โซเชียลมีเดีย ล้างสมองเยาวชนคนรุ่นใหม่ มาใช้เป็นเครื่องมือการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศเข้าใจภารกิจกระทรวงทำ เพื่อรักษาความสงบสุขปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ต้องเข้มแข็ง คงอยู่เพื่อคนไทยทุกคน”