วันนี้ ( 10 ก.ย.) สัมปทานดาวเทียมไทยคม อายุ 30 ปีได้สิ้นสุดลง บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับสัมปทานจากกระทรวงคมนาคม เมื่อปี2534 ต้องส่งมอบทรัพย์สินคืนให้กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส โดยกระทรวงมอบหมายให้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รับมอบดาวเทียมไทยคม 4 และ 6 ไปบริหารต่อ
โดย NT ได้เจรจากับไทยคมให้เป็นผู้บริหารจัดการดาวเทียมไทยคม 4 และไทยคม 6 ต่อ ในรูปแบบของหุ้นส่วนหรือความร่วมมือทางธุรกิจ
“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบหนังสือราชการลับ “ด่วนที่สุด” เรื่องการรายงานผลการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตามสัญญากิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ลงวันที่ 2 กันยายน 2564 (8 วันก่อนสิ้นสุดสัมปทาน)
โดยในเอกสารดังกล่าว มีรายงานถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2534 และ 6 สิงหาคม 2534 ที่อนุมัติให้ บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น) และปัจจุบันคือ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ เป็นผู้ได้รับสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี
ต่อมาได้มีการลงนามสัญญา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534 กับกระทรวงคมนาคม (คค.) ซึ่งได้โอนงานมายังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ทก.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) โดยสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 10 กันายน 2564
ในเอกสารดังกล่าวมีรายงานถึงมติ ครม. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ได้รับทราบการดำเนินการหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงดำแหน่งทางการเมือง กรณีการดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ทก.) เสนอ กรณีการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ที่ต้องถือใน บมจ.ไทยคม จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยว่าร้อยละ 40
โดยเห็นควรให้ดำเนินการยกเลิกการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 5 เพื่อให้คงสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ดังเดิม โดยให้ผู้รับสัมปทานจะต้องยังคงสภาพเป็นนิติบุคคลไทยตามที่กฎหมายกำหนด โดยให้ ทก.ดำเนินการโดยเร็วเพื่อให้ผู้รับสัมปทานปฎิบัติตามสัญญาฯ
ในเอกสารยังมีรายละเอียดกรณีการอนุมัติดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) โดยมิชอบ เห็นควรให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของราชการ และรายงานผลความคืบหน้า
โดย ทก.ได้มีคำสั่งลงวันที่ 7 ธันวาคม 2555 แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานกรณีดาวเทียมไอพีสตาร์ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมเป็นกรรมการ
แต่พบว่าไม่มีการดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าวจนกระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556
ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 รับทราบการดำเนินการหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ กรณีการดำเนินงานให้เป็นไปตามสัญญา
โดย ทก.ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางการดำเนินงานตามสัญญาดำเนินกิจการตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินงานกรณีการแก้ไขสัญญาฯ ครั้งที่ 5 และกรณีดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์)
ดศ.ได้รายงาน กรณีการอนุมัติแก้ไขสัญญา ฉบับที่ 5 สืบเนื่องจากในสัญญาข้อที่ 4 เรื่องการจัดตั้งบริษัทใหม่เข้าดำเนินงาน ซึ่งในรายละเอียด บริษัท (บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ฯในขณะนั้น) จะต้องตั้งบริษัทขึ้นใหม่เพื่อดำเนินงานสัญญาฉบับนี้
โดยบริษัทจะต้องดำเนินการจัดตั้งบริษัทใหม่ให้เสร็จภายใน 12 เดือน นับจากวันที่เริ่มให้บริการดาวเทียมตามสัญญา และอยู่ใต้เงื่อนไขจนกว่าจะหมดสัญญา คือ บริษัทจัดตั้งขึ้นใหม่ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ต้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และต้องดำเนินการให้บริษัทที่จัดตั้งใหม่รับผิดตามสัญญาฉบับนี้ต่อกระทรวงร่วมกันและแทนกันกับบริษัท
ลำดับเหตุการณ์การอนุมัติแก้ไขสัญญา ฉบับที่ 5
24 ธันวาคม 2546
25 กุมภาพันธ์ 2547
3 มิถุนายน 2547
17 มิถุนายน 2547
20 สิงหาคม 2547
24 กันยายน 2547
13 ตุลาคม 2547
27 ตุลาคม 2547
26 กุมภาพันธ์ 2553
ลำดับเหตุการณ์การอนุมัติโครงการดาวเทียมไทยคม 4 ไอพีสตาร์
รายละเอียดคุณสมบัติเฉพาะของดาวเทียม (Satellite Technical Specification) ทุกดวงที่บริษัทจะจัดสร้างและจัดส่งตามสัญญานี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงก่อนและอุปกรณ์ทั้งหมดของดาวเทียมจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่ยอมรับแล้วก็สามารถปฏิบัติงานได้อย่างดีทั้งนี้คุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองตั้งแต่ดวงที่สองเป็นต้นไปจะต้องมีคุณสมบัติไม่ด้อยกว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองชุดที่หนึ่งตามที่กำหนดในข้อเจ็ดแต่จำนวนวงจรดาวเทียมและชนิดของย่านความถี่ C-Band หรือ Ku-Band) ให้เป็นไปตามที่กระทรวงและบริษัทตกลงกัน
17 ธันวาคม 2536
7 ตุลาคม 2537
16 เมษายน 2540
26 กรกฎาคม 2545
ต่อมาบริษัทผู้รับสัมปทาน บมจ.ชินแซทเทลไลท์ ได้ขอแก้ข้อกำหนดทางด้านเทคนิคโดยขอเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเทียมสำรองคือดาวเทียมไทยคม 4 เป็นดาวเทียมไอพีสตาร์ โดยมีหนังสือขอแก้ไขข้อกำหนดทางเทคนิคของดาวเทียมไทยคม 4
29 สิงหาคม 2545
10 กันยายน 2545
24 กันยายน 2545
1.คุณสมบัติเฉพาะของดาวเทียมผนวกเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาหมายเลข 4 เพิ่มเติม
2.แผน Back up ดาวเทียมไทยคม 3 ย่านความถี่ C-Band และ Ku – Band ตามข้อเสนอของ บมจ.ชินแซทเทลไลท์
3.แผนดำเนินงานของดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ซึ่งมีผลทำให้แก้ไขเอกสารแนบท้ายสัญญา 3 : แผนการดำเนินงานเฉพาะในส่วนของดาวเทียมไทยคม 4
4.ให้ บมจ.ชินแซทเทลไลท์ จัดสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม4 ขึ้นสู่ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม 120 องศาตะวันออก โดยมีช่วงความถี่ที่กำหนด
2 ตุลาคม 2545
9 พฤษภาคม 2548
11 สิงหาคม 2548
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 องค์คณะผู้พิพากษามีมติคะแนนเสียงข้างมากว่ากรณีการอนุมัติโครงการดาวเทียมไทยคม4 ไอพีสตาร์ เป็นการกระทำโดยมิชอบเอื้อประโยชน์ให้บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่นและ บมจ.ไทยคม
มติคณะกรรมการกำหนดแนวทางมีสาระสำคัญคือ เห็นควรให้ ทก.ปัจจุบันคือ ดศ.ดำเนินการให้ดาวเทียมไทยคม 4 เป็นดาวเทียมตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพ.ศ. 2556
เนื่องจากเป็นการใช้ตำแหน่งวงโคจรของรัฐและเห็นควรให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา โดยกำหนดให้ดาวเทียมผนวกเข้ามาเป็นเข้ามาอยู่ในสัญญาเดิมด้วย
ซึ่งการแก้ไขสัญญาดังกล่าวจะต้องพิจารณากำหนดอัตราผลประโยชน์ตอบแทนใหม่ตามความเหมาะสมกับคุณลักษณะและการให้บริการของดาวเทียมไทยคม 4 ไอพีสตาร์ ที่มิใช่ดาวเทียมสำรอง เพื่อไม่ให้รัฐต้องเสียประโยชน์และประชาชนได้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง