“สนธิรัตน์”ลุยอีสานลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค

24 ม.ค. 2565 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ม.ค. 2565 | 15:51 น.

“สนธิรัตน์”ลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรคเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ชี้ระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรง ต้องสร้างฐานรากให้เข้มแข็ง

วันนี้(24 ม.ค.65) ที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง พรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมด้วย นายสุพล ฟองงาม อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายวัชระ กรรณิการ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย พบปะผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงาน 

 

นายสนธิรัตน์ เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้ขับเคลื่อนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยแนวคิด Energy For All เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงพลังงานทั้งการมีพลังงานใช้ และเป็นได้ทั้งเจ้าของธุรกิจพลังงาน ลบภาพกลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจพลังงาน 

                                            

“การมาพบปะกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน และตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงานในครั้งนี้ เพื่อเป็นการติดตามความก้าวหน้าของนโยบายที่ทางกระทรวงพลังงานได้สานต่อ พร้อมรับฟังความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เพื่อนำไปกลั่นกรองเป็นข้อมูลในการกำหนดเป็นนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทยที่เป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง”

            “สนธิรัตน์”ลุยอีสานลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค   “สนธิรัตน์”ลุยอีสานลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค

โดยวันนี้ ได้รับการต้อนรับจากกลุ่ม บริษัท ศรีโคตรบูรณ์ BCG โดยคุณวิชวินท์ ศรีสุชัยจันทร์ และ คุณสายทิพย์ แสงสิงห์แก้ว บริษัท ไบโอ-แพลนท์ส รอว์ แม็ททีเรียล จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนในจังหวัดนครพนม ซึ่งได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการด้านเชื้อเพลิงร่วมกับชุมชนและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อสังคม 

ทั้งนี้ได้นำร่องปลูกพืชพลังงานร่วมกับชุมชน  4 แห่ง ได้แก่ อำเภอเมือง นาทม ท่าอุเทน และธาตุพนม โดยถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่ตรงตามนโยบายภายใต้แนวคิด Energy For All ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม 4 แห่ง กว่า 800 ครัวเรือน จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานประมาณ 25-30 ล้านบาทต่อปี ได้รับหุ้นจากโรงไฟฟ้า 10% ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งผลประกอบการตามสัดส่วนหุ้น 4% ทุกปี คิดเป็นรายได้สู่ชุมชนประมาณ 0.6-1 ล้านบาทต่อปี 

 

รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีเกษตรกรดั้งเดิมไปสู่การเป็น Smart Farmer และ Human Capital เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพในพื้นที่ ซึ่งในอนาคตจะมีการสร้างเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อต่อยอดไปสู่ชุมชนในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป

               “สนธิรัตน์”ลุยอีสานลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค

“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นนโยบายที่ผมได้ริเริ่มไว้เมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตั้งใจให้เป็นโครงการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับพี่น้องประชาชน วันนี้มาติดตามดูผลของการเกิดโรงไฟฟ้าชุมชนว่าโครงการสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในการปลูกพืชพลังงาน ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากการปลูกพืชพลังงาน แต่ยังขยายผลจากการนำพืชพลังงานไปสร้างรายได้เพิ่ม” 

 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า จะเห็นว่ามีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมปศุสัตว์ และ NIA ที่มีการนำหญ้าเนเปียร์มาพัฒนาเป็นอาหารสัตว์ มีการนำมูลสัตว์มาผสมกับหญ้าแล้วอบแห้งเป็นปุ๋ย หรือแม้แต่หญ้าเนเปียร์ที่แก่ เป็นอาหารสัตว์ไม่ได้ก็นำไปทำเป็นถ่านที่เรียกว่าไบโอชาร์ใช้ในการปรับปรุงดินแทนสารเคมี 

                               “สนธิรัตน์”ลุยอีสานลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค

“ผมก็มาดูในสิ่งที่ผมได้ริเริ่มเอาไว้ และจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นแนวทางในการทำเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงต่อไป เพราะโครงการนี้จะเป็นโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้พี่น้องประชาชนฐานราก ตามเป้าหมายโครงการ ก่อเกิดวิสาหกิจชุมชน ก่อเกิดความร่วมมือของเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า และภาครัฐที่เข้ามาร่วมกันได้ ที่สำคัญยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย” นายสนธิรัตน์ ระบุ