วันที่ 17 ก.พ.2565 ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวเปิดญัตติอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมมาตรา152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่ในการอภิปรายช่วงท้าย นพ.ชลน่าน ก็พูดลักษณะที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเสียหาย โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เกี่ยวกับองค์ประชุม โดยโยนความผิดให้ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ตามจากที่ตนติดตามการโหวต นพ.ชลน่าน และพรรคเพื่อไทยกำลังปกปิดความจริงหรือไม่ ทั้งที่ความจริงแล้วพรรคเพื่อไทย มาร่วมโหวตในสภาฯน้อยมาก ส่วนใหญ่มาแค่เซ็นชื่อหน้าห้องประชุมแล้วเดินทางกลับ จึงใช้วิธีพูดกลบเกลื่อนในสภาฯ เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำงานตามที่ประชาชนคาดหวัง
นายไพบูลย์ กล่าวว่าจากข้อมูลตั้งแต่เดือนธ.ค.64-ปัจจุบัน ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมด 132 คน มีการโหวตทั้งสิ้น 159 โหวต ยกตัวอย่างส.ส.คนสำคัญในพรรค 3 คน 1.นพ.ชลน่าน โหวตเพียงแค่ 37 ครั้ง จาก 159 โหวต ไม่ได้โหวต 122 ครั้ง คิดเป็น23.27เปอร์เซ็นต์
2.นายประเสิรฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โหวตเพียงแค่ 23 ครั้ง จาก159โหวต ไม่โหวต 136 ครั้ง คิดเป็น 14.04 เปอร์เซ็นต์ และ3.นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่มักเสนอนับองค์ประชุมเพื่อช่วยปกปิดการทำงาน โดยชอบอ้างองค์ประชุมล่ม โหวตเพียงแค่43ครั้ง จาก159โหวต ไม่โหวต116ครั้ง คิดเป็น 47 เปอร์เซ็นต์ สรุปค่าเฉลี่ย ส.ส.พรรคเพื่อไทย โหวตทั้งสิ้น 46 ครั้ง ไม่โหวต 113 ครั้ง จากทั้งหมด159โหวต คิดเป็น 29 เปอร์เซ็นต์” นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ยังมีส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนที่โหวตไม่ถึง10เปอร์เซ็นต์ จะตอบคำถามอย่างไร เป็น ส.ส.ไม่ทำงานในสภา กินภาษีประชาชนเป็นค่าตำแหน่ง สวัสดิการมากมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา101 (12) ได้กำหนดเรื่องการสิ้นสุดสมาชิกภาพของส.ส.ว่า ขาดประชุมเกิน1ใน 4 ของวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อย 120 วันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาฯ ซึ่งตนคิดว่าการประชุมก็คือต้องเข้าร่วมโหวตด้วย หากตรวจสอบพบไม่ปรากฎหลักฐานในอนาคต จะเกิดปัญหาแน่ แต่ตนยืนยันว่าคงไม่ไปร้องศาล เพียงแค่ตรวจสอบการทำงานของส.ส. ที่เป็นตัวอย่างไม่ดีกับเยาวชน
เมื่อถามว่า ทำไมถึงไม่ไปร้องต่อศาลให้วินิจฉัย นายไพบูลย์ กล่าวว่า ข้อกฎหมายชัดอยู่แล้ว ซึ่งสังคมไทยปัจจุบันมีการตรวจสอบอยู่แล้ว เชื่อว่าคงจะมีคนที่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ วินิจฉัย เดี๋ยวก็คงทราบ ตนเพียงแค่รวบรวมข้อมูล เสนอกฎหมาย เมื่อถามย้ำว่า ในเมื่อรวบรวมข้อมูลแล้ว ทำไมไม่ไปฟ้องเองเลย นายไพบูลย์ กล่าวว่า ขอคิดดูก่อน ตนไม่อยากฟ้องให้เสียบรรยากาศ แต่ถ้าหากเกินเลยไปก็คงต้องสงวนสิทธิ์