28 มีนาคม 2565 เวลา 20.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นกล่าวในงาน Nation Dinner Talk ที่ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซนทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์
นายจุรินทร์ กล่าวในหัวข้อ "พรรคการเมืองใหญ๋ จะพาประเทศไทยไปทางไหน" ว่า 2-3 ปีที่ผ่านมามาจนถึงวันนี้ประเทศไทยของเราต้องเผชิญกับ 3 วิกฤติเป็นอย่างน้อย 1.โควิด 2.เศรษฐกิจ 3.การเมือง และโควิดสถานการณ์น่าจะค่อยๆผ่อนคลายลง ที่ต้องอยู่กับเราไปอีกระยะเวลานานพอสมควร คือ เศรษฐกิจกับการเมือง
ประเด็นทางการเมืองมี 3 เรื่องที่พรรคการเมืองต้องพาประเทศเดินไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง
ประเด็นที่หนึ่ง พรรคการเมืองมีหน้าที่ต้องพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ถ้าไม่ทำเรื่อง ตนเชื่อแรงเสียดทานทั้งทางการเมือง การบริหารประเทศจะไม่มีวันรู้จบ และคำว่าประชาธิปไตยจะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี่คือทิศทางจุดยืนประชาธิปัตย์
ประเด็นที่สอง พรรคการเมืองต้องไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย ต้องทำเผื่อทุกคนทั้งคนทุกภาคทุกสาขาอาชีพทุกระดับตั้งแต่คนตัวใหญ่จนกระทั่งถึงคนตัวเล็ก ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่งหรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ซึ่งประชาธิปัตย์มีวิสัยทัศน์เรื่องนี้ชัดเจน เมื่อถึงเวลาจะเรียนให้ทราบ คือ นโยบาย Democrat for All
ประเด็นที่สาม พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อไหร่ที่พรรคการเมืองบริหารประเทศแล้วโกงจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การรัฐประหารเกือบจะทุกครั้ง ความซื่อสัตย์จึงเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งของความเป็นนักการเมือง รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นทางเศรษฐกิจ ตนคิดว่าทิศทางที่ขอนำเสนอมี 5 ประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง ทิศทางที่ประชาธิปัตย์จะทำต่อไป คือจะเน้นการสร้างเงินและการกระจายเม็ดเงินสู่ระบบ เพื่อสร้างอัตราการเจริญเติบโตของประเทศและลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศ
ประเด็นที่สอง เศรษฐกิจตามทิศประชาธิปัตย์ต้องทันโลกและทันสมัย ตรงนี้จึงเป็นพรรคการเมืองใดเดียวที่มีทีมเศรษฐกิจทันสมัยเกิดขึ้นโดย คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ เป็นผู้ดำเนินการ
ประเด็นที่สาม การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างคนและการพัฒนาคน การสร้างคนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญทั้งการสร้างในระบบ นอกระบบและการดำเนินการที่จะต้องดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย
ประเด็นที่สี่ 3 ปีประชาธิปัตย์ พิสูจน์แล้วตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาล แม้มีแค่ 50 เสียง แต่ทำผลงานเกินตัวและ “ทำได้ไวทำได้จริง”ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ที่เห็นชัดเจน ประกันรายได้เกษตรกร 3 ปี
ประชาธิปัตย์ภายใต้นโยบายรัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว 8,000,000 ครอบครัว ประมาณ 32,000,000 คน ใช้เม็ดเงินทุ่มลงไปในระบบ 350,000 ล้านบาท ทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินได้ และการส่งออกแม้จะมีวิกฤตโควิด ปีที่แล้วปีเดียวเราทำการส่งออกได้ +17.1% ทำเงินเข้าประเทศ 8.5 ล้านล้านบาท
และปีนี้ตั้งเป้าจะทำให้เกินเป็น 9 ล้านล้านบาท เพื่อนำเม็ดเงินเข้ามาพัฒนาประเทศต่อไป
ประการสุดท้าย นโยบายประชาธิปัตย์อย่างน้อย 1.ประกันรายได้ต้องเดินหน้าต่อ 2.เศรษฐกิจฐานเกษตรต้องรักษาไว้และต้องอาศัยความหลากหลายทางชีวภาพใส่เทคโนโลยีใส่นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานเกษตรที่เรียกว่า Bio economyเดินก้าวหน้าต่อไปได้ทำเงินเข้าประเทศ
3.การท่องเที่ยวต้องพัฒนาไปเป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเมืองหลักเมืองรองต้องต่อด้วยการท่องเที่ยวชุมชน 4.การส่งออกสินค้าบริการไม่พอแล้วต้องส่งออก soft power
กลไกเศรษฐกิจยุคใหม่ต้องนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ blockchain Metaverse Green economy ที่เน้นคาร์บอนเครดิต
สุดท้ายตนคิดว่านี่คือทิศทางที่จะเป็นทางออกของประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ประชาธิปัตย์นั่นคือ เราต้องเดินหน้าพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นและประชาธิปไตยที่ว่าต้องไม่ใช่สักแต่ประชาธิปไตย
แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เรียกว่าประชาธิปไตยไส้แห้งหรือประชาธิปไตยท้องกิ่ว แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยท้องอิ่ม หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตยกินได้เท่านั้น จึงจะเป็นทางรอดสำหรับประเทศไทย