ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “สิงห์สยามโพล” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิดาภา ถิรศิริกุล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ แถลงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เรื่อง การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
โดยทำการสำรวจข้อมูลระหว่าง วันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน 2565 ด้วยแบบสอบถามจากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,242 ตัวอย่าง ระบุว่า
ผู้สมัครผู้ว่า กทม. และ สก. ไม่จำเป็นต้องมาจากตัวแทนพรรคการเมือง มากกว่าร้อยละ 70 และร้อยละ 60 ตามลำดับ ทั้งนี้พบว่า วัยรุ่นกลุ่ม 21-30 ปี คิดเป็นร้อยละ 25.1 คิดเป็น
และกลุ่มต่ำกว่า 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 5.8 ยังเป็นฐานคะแนนสำคัญของพรรคการเมือง โดย พรรคก้าวไกลมีคะแนนนำในตัวผู้สมัครทั้งผู้ว่าฯ และ สก. คิดเป็นร้อยละ 30.4 และร้อยละ 31.6 ตามลำดับ
ด้านคุณลักษณะที่สำคัญของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรมีความรู้ความสามารถ คิดเป็นร้อยละ 34.5 และร้อยละ 35.6 ตามลำดับ
ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในการแก้ไขปัญหาจราจร คิดเป็นร้อยละ 40.1 และรองลงมาคือ เปิดกรุงเทพมหานครให้ใช้ชีวิตปกติ คิดเป็นร้อยละ 31.6
ส่วนด้านภูมิหลังด้านอาชีพและประสบการณ์ของผู้สมัครที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรมากจากนักการเมืองและนักธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 71.0 สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และ คิดเป็นร้อยละ 54.9 สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)
ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างยังคงต้องการทักษะและประสบการณ์การทำงานที่คล่องตัวในการทำงานเชิงนโยบายทางการเมืองและขณะเดียวกันก็ต้องการทักษะความรู้ในการประกอบการทางธุรกิจที่กรุงเทพมหานครนั้นดำเนินการอยู่ เช่น รถไฟฟ้า และ รถ ขส.มก. เป็นต้น
นอกจากนี้ ดร.จิดาภา สรุปผลวิเคราะห์จากการสำรวจโดยย่อว่า เมื่อพิจารณาผลการสำรวจรายประเด็นย่อมพบว่าด้านความอิสระทางการเมืองสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรงุเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) สะท้อนให้เห็นว่า
ประชาชนโดยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 70 และร้อยละ 60 ตามลำดับต่างเห็นว่า ตำแหน่งทางการเมืองไม่ควรมีความสัมพันธ์ทางตรงกับการแสดงบทบาททางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ หรือเป็นอิสระ เพราะอาจเกิดจากการที่ผู้สมัครหลายคนที่เป็นที่นิยมของประชาชนไม่สังกัดพรรคการเมือง
และเห็นว่าผู้สมัครอิสระหลายคนเป็นคนในพื้นที่ที่สร้างฐานคะแนนในเขตมาอย่างยาวนานกว่าผู้สมัครที่เป็นตัวแทนของพรรคการเมือง
ด้านคุณลักษณะที่สำคัญของผู้ว่าฯกทม.และส.ก. พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรมีความรู้ความสามารถ คิดเป็นร้อยละ 34.5 และร้อยละ 35.6 ตามลำดับซึ่งผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า
กลุ่มตัวอย่างต่างมุ่งหวังอาศัยทักษะความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงจะสร้างความมั่นใจในการทำงานได้ และยังคำนึงถึงประเด็นการป้องกันการคอร์รัปชันของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นเดียวกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ด้านประเด็นหาเสียงที่สำคัญของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการแก้ปัญหาจราจร คิดเป็นร้อยละ 40.1 และรองลงมาคือ เปิดกรุงเทพมหานครให้ใช้ชีวิตปกติ คิดเป็นร้อยละ 31.6 ซึ่งผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตในเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง และการใช้ชีวิตตามปกติ มากกว่าเรื่องอื่นๆ
ดังนั้นผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงควรตระหนักถึงการกำหนดและการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาจราจร และการแก้ไขภาวะวิกฤติในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19
ด้านภูมิหลังด้านอาชีพและประสบการณ์ของผู้สมัครที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกผู้ว่าฯกทม.และส.ก. พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรมากจากนักการเมืองและนักธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 71.0 สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และ คิดเป็นร้อยละ 54.9 สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งส.ก. ซึ่งผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างยังคงต้องการทักษะและประสบการณ์การทำงานที่คล่องตัวในการทำงานเชิงนโยบายทางการเมืองและขณะเดียวกันก็ต้องการทักษะความรู้ในการประกอบการทางธุรกิจที่กรุงเทพมหานครนั้นดำเนินการอยู่ เช่น รถไฟฟ้า และ รถ ขส.มก. เป็นต้น