นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ แกนนำและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ร่วมกับนักวิชาการด้านสังคม อาทิ ศ.ดร.นฤมล นิราทร คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ลงพื้นที่บางแค พบปะตัวแทนเครือข่ายกลุ่มหาบเร่ แผงลอย นำโดย นายเรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และนางสาวณฐชา คะเณกิจ ตัวแทนกลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอยตลาดบางแค ถกแนวทางแก้ปัญหาปากท้อง การประกอบอาชีพ และให้กำลังใจ
พร้อมชี้ปัญหาพื้นที่ค้าขาย หาบเร่ แผงลอย บนทางเท้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ต้องแก้ไขอย่างรอบคอบ ระบุพรรคเปิดกว้างรับฟังทุกฝ่าย หวังวางนโยบายแก้ปัญหาแบบบูรณาการสมดุลทั้งคนทำมาหากินและความสะดวกต่อการสัญจร
นายสนธิรัตน์ กล่าวภายหลังจากการลงพื้นที่พบปะชาวบ้านและกลุ่มหาบเร่แผงลอยในพื้นที่ย่านบางแคว่า ตนมองว่าปัญหาเรื่องพื้นที่ค้าขาย หาบเร่ แผงลอย บนทางสัญจร ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมายาวนานนั้น จะต้องมีการแก้ไขอย่างรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งพรรคสร้างอนาคตไทยอาสาเข้ามาทำงานการเมืองรับใช้ประชาชนได้ประกาศอุดมการณ์ไว้อย่างชัดเจนว่า
ทุกนโยบายของพรรคต้องเป็นนโยบายที่แก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ไม่ใช่การแก้แบบสะสมปัญหา ดังนั้น พรรคจึงพร้อมที่จะเดินเข้ารับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ และพร้อมที่จะเปิดกว้างที่จะรับฟังทุกฝ่ายที่ต้องการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่จะนำมาซึ่งการวางนโยบายของพรรคที่ตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่ได้จริงๆ
สตรีทฟู้ด ร้านค้าหาบเร่ แผงลอยต่างๆ ถือเป็นเศรษฐกิจของคนรากหญ้าที่ต้องเข้าไปดูแล และแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่ขณะเดียวกันความสะดวกสบายของการสัญจรของผู้คนก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากจะแก้ปัญหาก็ต้องให้เกิดความสมดุลทั้ง 2 ด้าน
ข้อมูลต่างๆ ที่ทีมยุทธศาสตร์และนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทยได้จากการลงพื้นที่ในพื้นที่ย่านบางแค จะนำข้อมูลที่ได้กลับไปหารือเพื่อกลั่นกรองเป็นนโยบายของพรรคในด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของคนรากหญ้า
อย่างไรก็ตาม พรรคยังจะเดินหน้าพบปะรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ คู่ขนานกับการให้ความช่วยเหลือในส่วนที่พรรคพอจะทำได้คู่ขนานกันไป เพราะพรรคมองว่าความลำบากของพี่น้องประชาชนต้องช่วยทันทีไม่จำเป็นต้องรอเลือกตั้ง
“ผมมองว่าทุกปัญหามีทางแก้และมีทางออก แต่ต้องเปิดใจรับฟังและกลั่นกรองข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อวางแนวทางแก้ไขอย่างตรงจุด และต้องแก้แบบองค์รวม ภายใต้หลักกฎหมายและหลักเกณฑ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งต้องไม่ใช่การแก้แบบลูบหน้าปะจมูก แก้ให้อีกฝ่ายแต่กลับไปสะสมปัญหาให้กับอีกฝ่าย เพราะแบบนั้นไม่ใช่ทางออกแต่กลับกันยิ่งจะเป็นการสะสมปัญหามากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันประชาชนบอบช้ำเรื่องการทำมาหากินจากวิกฤติเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิดที่ยังไม่ฟื้นตัว มาวันนี้ถูกซ้ำเติมจากผลพวงของสงครามรัสเซียกับยูเครนอีก ซึ่งเสียงสะท้อนที่ผมได้รับฟังวันนี้ต่างบอกว่า ข้าวของแพงค้าขายลำบาก รายได้ไม่พอกับรายจ่าย นำไปสู่ปัญหาหนี้นอกระบบ
ส่วนมาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐออกมาเยียวยาก็เรียกได้ว่ายังใช้ยารักษาที่ไม่ตรงกับอาการ ซึ่งผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจถ้าหากประชาชนยังต้องมาแบกรับเรื่องความไม่แน่นอนในพื้นที่ทำกินอีกก็คงเป็นเรื่องที่บั่นทอนต่อการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมาก
เพราะภาคเศรษฐกิจในประเทศต่างขับเคลื่อนจากรากหญ้า แต่ถ้าหากเศรษฐกิจฐานรากอยู่ไม่ได้ผมถือว่าเป็นเรื่องอันตรายต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศเช่นกัน” นายสนธิรัตน์ กล่าว