“ดร.กนก”ชี้ 2 ช่องโหว่ทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์เกษตรฯ 

15 เม.ย. 2565 | 04:07 น.
อัปเดตล่าสุด :15 เม.ย. 2565 | 11:11 น.

“ดร.กนก”ชี้ช่องโหว่ 2 จุดทุจริตหสกรณ์ออมทรัพย์ เกษตรฯ ตัวบุคคล-การตรวจสอบภายในมีปัญหา แถม กรมส่งเสริมสหกรณ์-กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย แนะคืน สหกรณ์ให้”คลัง”ดูแล

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 600 ล้าน ด้วยการยักยอกเงินจากบัญชีเงินฝากของสมาชิกที่ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ว่า ทำให้คิดถึงคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ทุจริตกว่า 10,000 ล้าน เมื่อปี 2556 และยังคิดถึงการทุจริตของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำนวน 431 ล้าน เมื่อปี 2562
 

ข่าวการทุจริตของสหกรณ์ออมทรัพย์เหล่านี้ ทำให้เกิดคำถามว่า "สหกรณ์ออมทรัพย์" ในฐานะสถาบันออมทรัพย์ยังคงมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับใด ทั้งนี้เห็นว่าการทุจริตที่เกิดขึ้นเมื่อวิเคราะห์ลงไปในสาเหตุของการทุจริต มักจะเกี่ยวข้องกับ 2 เรื่อง คือ  1.ตัวบุคคล และ 2.ระบบการควบคุมและตรวจสอบภายใน 
 

จึงเกิดคำถามว่า การคัดเลือกบุคลากรและการบริหารบุคลากรของสหกรณ์เป็นอย่างไร และต้องถามต่ออีกว่าระบบการควบคุมและตรวจสอบภายในมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพแค่ไหน และถ้าจะถามต่อไปคือ หน่วยงานที่กำกับสหกรณ์คือทกรมส่งเสริมสหกรณ์  และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำหน้าที่กำกับและพัฒนาสหกรณ์ ตามหน้าที่หรือไม่
 

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า การทุจริตในสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า  กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะการทุจริตครั้งนี้ เกิดขึ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์ของกระทรวงท่านเอง 
 

จึงไม่อยากให้เกิดการแก้ปัญหาการทุจริตครั้งนี้  เป็นเรื่องของการติดตามเงินที่ถูกยักยอกไปกลับมาเท่านั้น แต่อยากให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ลงไปดูว่า   การทุจริตครั้งนี้เกิดขึ้นจากจุดอ่อนของระบบบริหารสหกรณ์จุดไหน เพราะอะไร เพื่อจะได้นำไปสู่การพัฒนาระบบบริหารโดยเฉพาะระบบควบคุมและตรวจสอบภายในของสหกรณ์ 
 

ขณะที่ฝ่ายการเมืองที่คุมนโยบายต้องหันมาให้ความสนใจกับสหกรณ์อย่างจริงจัง แทนการทุ่มความสำคัญไปที่การโครงการก่อสร้างจากการพัฒนาระบบชลประทานเป็นหลัก แต่ต้องปฏิรูปสหกรณ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและประเทศ

ถ้าย้อนกลับไปดู ยุคบุกเบิกงานสหกรณ์ที่เดิมสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ คือ กรมพาณิชย์ และสถิติพยากรณ์ และแผนกสหกรณ์ถูกยกระดับเป็นกรมสหกรณ์ นั่นหมายความว่างานสหกรณ์จัดเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะด้านการเกษตร ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการจัดกลุ่มเกษตรกรให้เข้มแข็งและนำไปสู่การยกระดับผลิตภาพของการทำเกษตร 
 

แต่ปรากฏว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์  ในปัจจุบันอาจจะเป็นกรมที่เกษตรกรลืมไปแล้ว จะพบกันเมื่อมีปัญหาเท่านั้น จึงขอให้การทุจริตครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนให้กระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์ กลับมาให้ความสำคัญกับงานสหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์ออมทรัพย์อย่างจริงจัง และเป็นระบบ ควบคู่ไปกับการลงโทษคนทำผิดและคืนเงินให้ผู้เสียหายด้วย 


“แต่ถ้าจะให้ดีผมคิดว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงเกษตร เท่านั้น ส่วนงานสหกรณ์ให้โอนคืนกระทรวงการคลังจะดีกว่าครับ” ศ.ดร.กนก กล่าว