ยุโรปไม่รอด! ‘ทรัมป์’ ขู่ฟาดภาษี กดดันเพิ่มนำเข้าพลังงานสหรัฐฯ

22 ธ.ค. 2567 | 06:00 น.

สหรัฐฯ ยกระดับแรงกดดันยุโรป "โดนัลด์ ทรัมป์" ขู่เก็บภาษีสินค้าส่งออก หากไม่เพิ่มนำเข้าแก๊สและน้ำมันจากสหรัฐฯ


รอยเตอร์รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า สหภาพยุโรป (EU) ควรเพิ่มการนำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐฯ ในปริมาณมากขึ้น มิฉะนั้นอาจต้องเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทรถยนต์และเครื่องจักรที่เป็นสินค้าหลักจากยุโรป

แม้ว่าสถิติจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะชี้ว่าสหภาพยุโรปเป็นผู้นำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐฯ มากที่สุดในปัจจุบัน แต่ทรัมป์ย้ำผ่าน Truth Social ว่า EU จำเป็นต้อง “ลดช่องว่างการค้าขาดดุลอันมหาศาล” ผ่านการซื้อน้ำมันและแก๊สในปริมาณที่มากขึ้น

โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า สหภาพยุโรปยินดีหารือกับทรัมป์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านพลังงาน พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของ EU ในการลดพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียและแสวงหาการจัดหาจากแหล่งอื่น

แรงกดดันจากภาษี

โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคม 2568 ได้ให้คำมั่นว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลก 10% และเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนถึง 60% นักวิเคราะห์เตือนว่า มาตรการเหล่านี้อาจพลิกโฉมเส้นทางการค้าโลก เพิ่มต้นทุนสินค้า และกระตุ้นการตอบโต้จากนานาชาติ

ข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากับสหภาพยุโรปสูงถึง 208.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 แม้ว่าสหรัฐฯ จะได้เปรียบด้านบริการ แต่ทรัมป์กลับให้ความสำคัญกับสินค้าที่ส่งออกจากยุโรป โดยเฉพาะรถยนต์ที่ถูกเก็บภาษีเพียง 2.5% ในปัจจุบัน ซึ่งอาจเพิ่มขึ้น 4 เท่าหากทรัมป์ดำเนินการตามที่เคยกล่าวไว้

 

ยุโรปพึ่งพาพลังงานสหรัฐฯ

หลังจากที่ EU ลงโทษและลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซียเนื่องจากการรุกรานยูเครนในปี 2022 การนำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในไตรมาสแรกของปี 2024 สหรัฐฯ ส่งมอบ LNG 47% และน้ำมัน 17% ให้กับ EU

แม้ทรัมป์จะผลักดันให้เพิ่มการผลิตน้ำมันและแก๊สของสหรัฐฯ แต่การลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการส่งออก LNG และน้ำมันต้องใช้เวลานาน นักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันกล่าวว่ายุโรปเกือบจะถึงขีดจำกัดในการนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯ แล้ว

ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยกำลังผลิตน้ำมันรวมกว่า 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกไปยังยุโรปกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

อนาคตที่ไม่แน่นอนของตลาดพลังงาน

แม้ความต้องการน้ำมันและแก๊สของสหรัฐฯ ในยุโรปยังสูงเพื่อทดแทนพลังงานจากรัสเซีย แต่อนาคตระยะยาวยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากยุโรปกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าบริษัทพลังงานจะไม่กล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มหากความต้องการในตลาดมีแนวโน้มชั่วคราว นอกจากนี้ การปิดโรงกลั่นน้ำมันในยุโรปในปี 2025 อาจยิ่งลดโอกาสในการนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ

การที่สหภาพยุโรปอาจพิจารณาห้ามการนำเข้า LNG จากรัสเซียในปีหน้า เป็นอีกปัจจัยที่อาจผลักดันให้เกิดการพึ่งพาสหรัฐฯ มากขึ้น แต่นั่นยังต้องอาศัยความร่วมมือและการเจรจาทางการค้าระหว่างสองฝ่าย

นักวิเคราะห์บางรายมองว่าการซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ยุโรปต้องการอยู่แล้ว และอาจใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเอกชนเป็นผู้กำหนดการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รัฐบาลยุโรปมีบทบาทจำกัดในเรื่องนี้

 

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

นโยบายกดดัน EU ของทรัมป์สะท้อนถึงยุทธศาสตร์เชิงรุกที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง หากการเจรจาไม่สามารถประนีประนอมได้ การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองฝ่ายอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาคเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศในวงกว้าง