นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการประชุมยุทธศาสตร์พรรค ว่า จะเริ่มพูดคุยกันว่าจะทำอะไรก่อนหรือหลัง เพื่อให้สังคมได้รับประโยชน์จากการทำงานของพรรค โดยจะเร่งรัดงานของแต่ละกระทรวงที่รัฐมนตรีของพรรคกำกับดูแลอยู่ อย่างไรก็ตาม จะไม่พูดเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค
ส่วนการเปิดทีมเศรษฐกิจของพรรค ว่า ในส่วนของพรรคมี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคดูแลอยู่ ซึ่งต้องดูชีวิตความเป็นอยู่และความต้องการของประชาชน เพราะขณะนี้ยังคงอยู่ในตำแหน่งอีก 10 เดือน เพื่อให้เร่งรัดการทำงานออกมา ไม่ใช่ว่าหมดวาระของรัฐบาลแล้วค่อยมาเร่งรัด จะไม่ทัน
ส่วนการแก้ปัญหาความปรองดองภายในพรรค นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าไม่ปรองดองก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้มีแนวทางไว้แล้ว ส่วนเรื่องพรรคเล็กที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ถ้าทบทวนว่าในปีสุดท้ายของรัฐบาลจะเป็นอย่างนี้ พรรคเล็กก็ต้องออกมามีบทบาททางการเมือง
“ถ้าไม่ทำการเมืองหรือออกมาพูด ทำให้มีราคา ก็จะไม่มีราคา ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนกระแสข่าวว่าพรรคเล็กจะไปหารือกับฝ่ายค้านล้มรัฐบาลในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคการเมืองต้องคุยกันไม่ว่าพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ พรรคเดียวกันต้องสามัคคีกัน มีความคิดที่ตกผลึกออกมาเป็นแนวทางเดียวกัน ไม่ใช่ออกมาคนละทิศคนละทาง” นายสมศักดิ์ กล่าว
ส่วนที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า มีการจ่ายค่าหัวส.ส.หัวละ 5 -30 ล้านบาท เพื่อแลกกับเสียงโหวตล้มรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และอาจจะกระทบถึงการพิจารณาไม่ผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 นายสมศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องนี้ เพราะเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไป
“จะใช้เงินอะไรมากมายขนาดนั้น ถ้าจะล้มรัฐบาลหรือล้มใคร 5 ล้าน 30 ล้าน มันมากเกินไป กับระยะเวลาจากวันนี้ไปจนถึงวันอภิปราย หรือวันที่มีปัญหาในวันข้างหน้า ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน เป็นไปไม่ได้ โมเม ตัวเลขมันไม่สอดคล้องกับสิ่งที่จะเป็นเหตุเป็นผล ไม่น่าเชื่อ
จากประสบการณ์ของผม ดูแล้วไม่น่าใช่ ส่วนเรื่องล้มไม่ล้มรัฐบาล ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่เรื่องตัวเงินอย่าเอามาพูดกันให้เกิดความรู้สึกว่าอะไรต้องใช้เงินไปทั้งหมด ถ้าคิดว่าทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด ก็ไม่มีใครทำงาน”