นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2565 ยืนยันถึงการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ (ซักฟอก) นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีมติจะยื่นญัตติในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ โดยนัดหมายกับฝ่ายเลขานุการของประธานสภาฯ ส่วนเวลาจะแจ้งกลับมาอีกที
6 มิ.ย.สรุปซักฟอกใครบ้าง
สำหรับรายชื่อผู้ถูกอภิปราย จะสรุปในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ ว่าจะมีใครบ้าง ขณะนี้ให้แต่ละพรรคไปเขียนญัตติของแต่ละพรรค โดยที่พรรคเพื่อไทย จะเป็นผู้สรุปและเขียนญัตติรวมเพื่อยื่นร่วมกัน ซึ่งจะมีรายละเอียดผู้ถูกอภิปราย ข้อกล่าวหา ผู้ที่จะอภิปราย และเวลาที่จะใช้
“เวลานี้จะยังไม่เปิดชื่อ เพราะพรรคเพื่อไทยก็ยังมีรายชื่อบุคคลอยู่มาก แต่ที่จะยื่นแน่นอนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ
ส่วนการพิจารณาร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับเกี่ยวกับการเลือกตั้งจะมีความชัดเจนอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราขอเลื่อนการพิจารณามาเป็นวันที่ 9-10 มิ.ย. แต่วิปรัฐบาลไม่เห็นชอบด้วย โดยวันดังกล่าวจะเป็นการพิจารณากฎหมายปฏิรูปตำรวจ
ดังนั้น คาดการณ์ว่า เมื่อพิจารณากฎหมายฉบับนี้เสร็จจะนำกฎหมายลูก 2 ฉบับ เข้าสู่วาระการพิจารณาในที่ประชุมสัปดาห์ถัดไป ถ้ากฎหมายปฏิรูปตำรวจยังไม่เสร็จ ก็ต้องรอให้เสร็จก่อน โดยกฎหมายฉบับนี้ค่อนข้างยาวมีกว่า 100 มาตรา แต่ทางประธานสภา เปิดโอกาสแล้วว่า จะมีการประชุมร่วมทุกสัปดาห์ ดังนั้น เมื่อกฎหมายปฏิรูปเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะพิจารณากฎหมายลูก 2 ฉบับต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองก่อน เช่น ยุบสภา ก็จะไม่มีการพิจารณากฎหมาย 2 ฉบับ มารองรับการเลือกตั้ง จะทำให้พรรคเพื่อไทย อยู่ในภาวะเสียเปรียบหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่เสียเปรียบ แต่ประชาชนและประเทศไทยจะเสียเปรียบทั้งประเทศ เพราะมีการตีความที่ต่างกัน 2 สำนัก สำนักหนึ่งคิดเชิงบวก โดยครม.สามารถไปออกพระราชกำหนดการเลือกตั้งได้ แต่อีกสำนักหนึ่งตีความเคร่งครัด ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่า ทำไม่ได้ จะเกิดเป็นเดทล็อก
ขู่ซักฟอกนายกฯ-2รมต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ เต็มไปด้วยความไม่โปร่งใสและการทุจริต โกงแม้กระทั่งการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ
เริ่มจากกรมธนารักษ์ สังกัดกระทรวงการคลัง ได้วงเงิน 3.7 พันล้านบาท และเงินนอกงบประมาณอีก 500 ล้านบาท ซึ่งกรมธนารักษ์กำลังประกวดโครงการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท
โครงการนี้กรมธนารักษ์ได้ให้เอกชนใช้วิธีการคัดเลือก เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2564 โดยมีบริษัทเอกชนเข้ายื่น 3 ราย วันที่ 13 ส.ค.2564 คณะกรรมการคัดเลือกได้ให้ บริษัท อีสท์วอเตอร์ ได้คะแนนสูงสุด แต่ต่อมาประธานคณะกรรมการไม่เห็นด้วยสั่งให้ยกเลิก และให้มีการคัดเลือกใหม่
“ผมจึงไม่มั่นใจกรมธนารักษ์ถึงความโปร่งใสในการบริหารงาน ทั้งที่บริษัทที่ยื่นข้อเสนอดีที่สุดให้ภาครัฐ คือ บริษัท อีสท์วอเตอร์ ผมสงสัยว่าเหตุใดไม่ใช้วิธีการประมูลทั่วไป”
นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า หากกลางเดือน ก.ค. ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานอีอีซี จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน รวมถึง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะกรรมการที่ราชพัสดุ และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่รับมอบอำนาจจาก รมว.คลัง ให้เป็นกรรมการที่ราชพัสดุ”
ขอรื้องบซื้ออาวุธกองทัพ
นายยุทธพงศ์ อภิปรายด้วยว่า งบกระทรวงกลาโหม คือ กองทัพเรือ(ทร.) ปี 2566 ได้งบกว่า 4 หมื่นล้านบาท โดยไปซื้อเรือดำน้ำจีน แต่ไม่มีเครื่องยนต์ ซื้ออากาศยานไร้เครื่องยนต์ 3 ลำ รุ่น hermes 900 ตั้งงบ 4,070 ล้านบาท ตกลำละ 1,340 ล้าน ขณะที่ฟิลิปปินส์ ซื้อลำละ 340 ล้านบาท ตรงนี้คือความไมโปร่งใส ขอให้รมว.กลาโหม ชี้แจง
ส่วนกองทัพอากาศ งบประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท จะนำไปซื้อเครื่องบินขับไล่ รุ่น F-35A ราคาลำละ 2,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องเปล่าไม่มีอาวุธ และมีค่าใช้จ่ายในการบินชั่วโมงละ 1.2 ล้านบาท ต่างจาก เครื่องบิน F-16 ที่มีค่าใช้จ่ายในการบินชั่วโมง 2 แสนบาท
“ถามว่าสถานการณ์แบบนี้จะไปรบกับใคร เหมาะสมหรือไม่ที่จะซื้อเครื่องบินแพงๆ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ นายกฯ ควรเลือกอะไรในวันที่คนไทยกำลังอดอยาก จะเลือกความหิวโหยของปะชาชน หรือเลือกเรือดำน้ำจีนไม่มีเครื่องยนต์ โดรนที่ด้อยคุณภาพ และเครื่องบินที่ไม่มีอาวุธ นายกฯ ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกประชาชนหรืออาวุธสงคราม ผมขอให้ท่านปรับปรุงแก้ไขร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้”
แฉซื้อขายตำแหน่ง ทส.
นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวถึงงบกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) จำนวน 30,638 ล้านบาท กรมสำคัญคือ กรมทรัพยากรน้ำ ได้งบ 5,435 ล้านบาท นายกฯ ประกาศปราบโกงคือวาระแห่งชาติ แต่กลับมีการซื้อขายตำแหน่ง โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2565 มีการสอบคัดเลือกตำแหน่งผู้อำนวยการระดับสูง คือ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการ และผู้อำนวยการสำนักด้านวิศวกรรมระดับสูง สำนักอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำ ข้าราชการน้ำดีก็ไปสอบตามคุณสมบัติ
แต่ปรากฏว่า มีบุคคลลึกลับชื่อ “เฮีย ซ.” โทรศัพท์มาเรียกเงิน 8 หลักจากข้าราชการ ซึ่งวันที่ 20 พ.ค.2565 ที่ต้องมีการประชุมข้าราชการระดับ ซี 9 สองตำแหน่ง แต่ต้องเลื่อนมาจนถึงตอนนี้
“คำถามคือ เหตุการณ์แบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าปราบโกงเป็นวาระแห่งชาติ กล้าปราบหรือไม่ ขอให้ส่งคนมาติดต่อ และให้ผมเข้าพบ ผมพร้อมเข้าพบ และมีหลักฐาน ทำไมไม่ทำ เฮีย ซ. มีอิทธิพลมากในกรมทรัพยากรน้ำ” นายยุทธพงศ์ กล่าว
คาดซักฟอก 18-21 ก.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เคยออกมาระบุว่า เมื่อรัฐบาลไม่ยอมให้เลื่อนกฎหมายลูก 2 ฉบับ มาพิจารณาแทนร่างพ.ร.บ.ตำรวจ ในวันที่ 9-10 มิ.ย. ฝ่ายค้านจึงตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันที่ 15 มิ.ย. ก่อนที่จะพิจารณาร่างกฎหมายลูก หลังจากยื่นในวันที่ 15 มิ.ย.แล้ว จะมีผลทำให้รัฐบาลไม่สามารถชิงยุบสภาหลังจากนี้ได้”
ขณะที่ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางแล้ว ประธานสภาฯ จะตรวจสอบความถูกต้องของญัตติภายใน 1 สัปดาห์ เมื่อตรวจสอบญัตติแล้วเสร็จส่งให้ ครม.พิจารณว่าจะพร้อมชี้แจงในวันใด คาดว่าจะสามารถเริ่มอภิปรายได้ในวันที่ 18-21 ก.ค.รวมทั้งหมด 4 วัน และจะลงมติวันที่ 21 หรือ22 ก.ค.
มีหลักฐานเด็ดปลิดชีพรมต.
นายยุทธพงศ์ ระบุด้วยว่า “มีหลักฐานเด็ด ปลิดชีพระดับรัฐมนตรีว่าการให้ตายกลางสภา และมีใบเสร็จด้วย ถ้าเปิดหลักฐานออกมารับรองกรี๊ดกร๊าดสนั่นสภาแน่นอน รับรองได้ว่ามีส.ส.ผู้หญิงบางคน อาจจะทนดูการอภิปรายของฝ่ายค้านไม่ได้ ต้องเดินออกไปร้องไห้ข้างๆ ห้องประชุมก็ได้
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ส่วนรัฐมนตรีที่จะโดนอภิปรายแน่นอน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และรัฐมนตรีอีก 1 คน ส่วนรัฐมนตรีที่เหลือต้องรอข้อมูลจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้ง