การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้วในวันนี้ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.เพื่อไทย ประเด็นการใช้งบประมาณจัดซื้ออาวุธยุทธโปกรณ์ที่ไม่มีความจำเป็นต่อภารกิจของประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจมีปัญหา กรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ และ อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ไร้อาวุธ และ เครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์ F-35 A โดยไม่มีอาวุธซึ่งกรณีที่กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำจีนโดยระบุว่า เป็นการ ซื้อ 2 ลำแถม 1 ลำนั้นไม่เป็นความจริง
พร้อมแสดงหลักฐานสัญญาการซื้อจากกองทัพเรือว่า การจัดซื้อดังกล่าวเป็นการซื้อ 3 ลำ ราคา 6,548 ล้านหยวน ราว 36,000 ล้านบาท หรือลำละ 12,000 ล้านบาท ซึ่งผิดจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ซื้อ 2 ลำ แถม 1 ลำ ทั้งนี้ เรือลำที่ 1 มูลค่า 12,424 ล้านบาท อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2560 -2566 แต่ยังไม่มีเครื่องยนต์ โดยมีคำชี้แจงจากทูตทหารเยอรมันประจำประเทศไทยว่า
ทางการจีนไม่ได้ติดต่อขอซื้อเครื่องยนต์จากเยอรมนี ก่อนที่จะลงนามในสัญญาขายเรือดำน้ำให้กับกองทัพเรือไทยซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจัดซื้อไม่มีความรอบคอบ โดยวันที่ 9 มิ.ย.ตัวแทนฝ่ายจีนแก้ปัญหาโดยเสนอใช้เครื่องยนต์จีนแทนแต่ไทยยืนยันจะใช้เครื่องยนต์จากเยอรมนี และมีการขีดเส้นตายในวันที่ 9 ส.ค.2565 ขณะที่เรือดำน้ำลำที่ 2 ยังไม่ได้ซื้อ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยคัดค้าน
นอกจากนี้ยังเปิดสัญญาการซื้อเรือดำน้ำเพิ่มเติมโดยระบุว่า ในสัญญาข้อ 5.2 ระบุว่า ถ้าฝ่ายจีนไม่สามารถสร้างเรือดำน้ำให้เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญานี้ได้ทางการไทยมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ไม่เข้าไปแก้ปัญหาในการยกเลิกสัญญา
ทั้งนี้ โครงการจัดซื้อจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย มูลค่า 44,222 ล้านบาท นั้นมีราคาสูง ซึ่งนอกเหนือจากเรือดำน้ำยังมีโครงการอื่นๆ ด้วย เช่น โครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ (LPD) , โครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำ และอาคารสนับสนุนท่อเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งมีสัญญาเดินไปแล้วโดยเป็นงบผูกพัน เป็นต้น
งบประมาณในโครงการฯ รวมกว่า 44,222 ล้านบาท โดยเรือ LPD ราคา 6,000 ล้าน ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว รวมจ่ายไปแล้วจำนวน 21,722 ล้านบาท รวมเรือดำน้ำลำแรกที่กำลังก่อสร้างและยังไม่มีเครื่องยนต์ โดยลำที่ 2 และลำที่ 3 ยังไม่ได้ซื้อ
กรณีที่กองทัพเรือยังจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับ (UAV) จำนวน 3 ลำ งบปี 65 วงเงิน 4,100 ล้านบาท ทั้งนี้ กระบวนการจัดซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีการเสนอราคาเข้ามาจำนวน 5 บริษัท พบว่า มีเพียง บริษัท เอลบิท ซิสเต็ม บริษัทเดียวที่เสนอ 7 ลำ แล้วชนะการประมูล แต่ บริษัทอื่นเสนอ UAV จำนวน 3 ลำ แสดงให้เห็นว่า TOR มีปัญหา ต่อมากองทัพเรือจัดซื้อ UAV (Hermes 900) ของ บ.เอลบิท จากประเทศอิสราเอล ซึ่งไม่มีอาวุธ แสดงให้เห็นว่า กองทัพเรือเพียงต้องการใช้งบประมาณไมได้คำนึงถึงประโยชน์และความจำเป็น
ขณะที่ประสิทธิภาพของ UAV รุ่นนี้ พบว่า เกิดได้เคยเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเข้าไปตรวจสอบการจัดซื้อ UAV ถึงความคุ้มค่าและความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง จัดซื้อเครื่องบินรบไม่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้การจัดซื้อเครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์ F-35 A (5th Generation) ซึ่งแม้ว่าจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสม คือ 1.ล่องหนหายตัวได้ 2.บินด้วยท่วงท่าพิสดาร 3.มีกล้องรอบตัวมองเห็นรอบด้าน 4.บินเร็วเหนือเสียงนานมาก 5.ควบคุม UAV ได้
ถามว่า การจัดซื้อดังกล่าวมีความเหมาะสมหรือไม่ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ประเทศมีหนี้สาธารณะสูงจนต้องขยายเพดานหนี้ ซึ่งขณะนี้หนี้สาธารณะรวม 10.12 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61 ของ GDP จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงขยายเพดานหนี้จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 แทนที่จะไปช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของประชาชน
อย่างไรก็ดี การอนุมัติขอซื้อเครื่องบินรบ F-35 A ขึ้นอยู่กับสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ซึ่งต้องใช้เวลาอนุมัติอย่างน้อย 20 เดือน โดย ครม.ตั้งงบประมาณ 13,800 ล้านบาท ในการจัดซื้อเครื่องบินรบ 4 ลำ ซึ่งการอนุมัติขายเครื่องบินขึ้นอยู่กับ F-35 A ขึ้นอยู่กับสภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งมีรายงานข่าวจากสื่อว่า ขณะนี้ยังไม่มีความแน่น่อนในการจัดซื้อ รวมถึงในงบประมาณปี 2566 กองทัพอากาศขอจัดซื้อเครื่องบิน จำนวน 2 ลำ มูลค่า 7,400 ล้านบาท และไม่มีอาวุธ
นอกจากนี้ ยังพบว่า กองทัพอากาศไม่มีความสามารถในการบริหารงบผูกพันตั้งแต่ปี 2564 โดยมียอดคงค้าง 1,283 ล้านบาท โดยพบว่ายังมี 5 โครงการที่ยังจัดซื้อจัดจ้างไม่ได้ เช่น โครงการพัฒนาการปฏิบัติการในห้วงอวกาศ 1,400 ล้านบาท เริ่มปี 64 ปัจจุบันยังจัดซื้อจัดจ้างไม่ได้ เป็นต้น
หากกองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินดังกล่าวจะไม่มีงบประมาณไปพัฒนาด้านอื่นในระยะเวลา 10 ปี โดยงบผูกพันของกองทัพอากาศมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของงบประมาณในแต่ละปี ที่ได้รับจัดสรรปีละ 37,000 ล้านบาท ซึ่งกองทัพอากาศยังต้องจัดหาเรดาร์ และอาวุธสำหรับติดตั้งด้วย ดังนั้นจะต้องตั้งงบประมาณให้ครบ 1 ฝูงบิน จำนวน 8 ลำ ใช้เวลา 10 ปี (โดยไม่มีอาวุธ)
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ควรซื้อเครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์ เพราะประเทศไทยจะเป็นหนี้และต้องกู้เงินในการซื้อ ราคาเครื่องบินไม่ติดอาวุธ ลำละ 2,900 ล้านบาท มีราคาแพงไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจขั้นตอนการซื้อใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 20 เดือน