ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่กรมชลประทาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายในหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 2 ในหัวข้อ “Vision from Leader : มิติการพัฒนาการเกษตร และพลังงานในอนาคต”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม หากแก้ปัญหาเรื่องการเกษตรไม่ได้ถือว่าเสียโอกาสทางการแข่งขัน มองว่าประเทศไทยยังย่ำเท้าอยู่กับที่ในหลาย ๆ เรื่องเป็นเวลานาน
จากที่ตนได้ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นในเวทีสัมมนาต่างๆ หลายคนมองเห็นปัญหาในทิศทางเดียวกันคือ เราเป็นประเทศที่การเมืองเปลี่ยนแปลงบ่อย ระบบราชการยังพัฒนาไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ขณะที่เรายังเป็นเวอร์ชันอนาล็อก ซึ่งเป็นปัญหาที่ฝังลึก นอกจากนี้ ยังมีปัญหาโลกร้อน ที่เป็นกติกาและกฎระเบียบใหม่ของโลกใบนี้ที่ไทยต้องตามให้ทัน เพื่อสร้างโอกาสไทยจากเรื่องนี้ได้อย่างมหาศาล
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับบทบาทของพาณิชย์กับเกษตร จากในอดีตจนถึงปัจจุบัน สังเกตได้ว่า นโยบายการบริหารประเทศของทุกรัฐบาล หรือ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวใจสำคัญคือ มุ่งเน้นเพียงทำให้เกษตรกรพอใจในราคาสินค้า ทำให้ภาคการเกษตรย่ำเท้าอยู่กับที่ พอใจกับราคาที่ได้
ความเป็นจริงต้องมองผลตอบแทนที่เป็นกำไรที่แท้จริงของพี่น้องเกษตรกร ไม่ใช่แค่ราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น ราคาปาล์มน้ำมัน เราเป็นตัวเล็กของซับพลายปาล์มน้ำมันของโลก เพราะอินโดนีเซีย และมาเลเซียเหนือกว่าเรามาก ราคาปาล์มน้ำมันไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่ราคาตลาดโลก การอุดหนุนราคาจึงไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน แต่สิ่งที่ต้องสนับสนุน คือ การบริหารต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง เพราะเกษตรกรอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องราคาอย่างเดียว แต่เป็นองค์ประกอบตั้งแต่สายพันธุ์ ระบบชลประทาน ปุ๋ย เป็นต้น
“แต่เรามองที่ราคาอย่างเดียวบริหารเรื่องเดิมๆ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องแก้ปัญหาโดยการออกเงินอุดหนุน ถามว่าเกษตรกรจะได้อะไร ถ้าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ได้บอกว่านโยบายผิด แต่ปัญหามันซับซ้อนมาก เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายก็เปลี่ยนไปด้วย ที่น่าเป็นห่วงคือ วันนี้เรามุ่งเพียงนโยบายระยะสั้น เฉพาะหน้า และไม่ยั่งยืน
ถ้าเราไม่แก้ให้ตรงจุด อีก 10 ปีก็อยู่ที่เดิม หลายประเทศพัฒนาเป็นระบบ แต่เราพัฒนาแบบแยกส่วน กระทรวงใครกระทรวงมัน ความจริงมิติเหล่านี้ภาคเอกชนเก่งมาก รัฐบาลต้องคิดทบทวนใหม่ เพราะภาคเอกชนคือตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ และธุรกิจ รัฐบาลเป็นฝ่ายสนับสนุนได้ เวลาจะออกนโยบายอะไรก็ตามผมต้องออกให้คนต่อไปสามารถมาดำเนินการต่อได้ นั่นคือ Mind set การทำงานของผม”
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ปัญหาหนึ่งที่สำคัญของภาคการเกษตรคือกลไกพ่อค้าคนกลาง ล้งจีน ล้งไทย เกษตรกรทำเท่าไหร่คนรวย คือ พ่อค้าคนกลาง เกษตรกรยังจนต่อไป วันนี้เราควรพลิกมิติตลาดใหม่สู่ตลาดออนไลน์ ในเมื่อเราเป็นผู้ผลิตอาหารให้กับโลก ทั้งทุเรียน เงาะ ลำไย ข้าว ผัก ดังนั้น ตนมีแนวคิดที่จะยกสินค้าเกษตรสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ เว็บไซต์ Farm To The Table สร้างโอกาสให้เกิดการซื้อขายโดยตรงจากผู้ผลิตและผู้บริโภค ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ได้ราคาดีกว่า คุณภาพชัดเจน
ขณะที่เรื่องพลังงานกับการเกษตร นายสนธิรัตน์ มองว่า เป็นภาคที่สอดประสานและเกื้อกูลกันได้ดีมาก ยิ่งปัจจุบัน โลกกำลังเข้าสู่กติกาใหม่ทั้ง Cop 26 ภาวะโลกร้อน Net zero และ Carbon neutrality ตนมองเห็นโอกาสเรื่องการส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน เช่น ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ไม้โตเร็ว และอ้อย เป็นต้น ซึ่งเกษตรกับพืชพลังงานเป็นโอกาสใหญ่มาก เพราะนอกเหนือจากเรื่องพลังงานแล้ว ยังรวมไปถึงโอกาสใหม่ในเรื่องคาร์บอนเครดิต ที่เป็นโอกาสใหญ่มากกับภาคเกษตรของประเทศไทยอีกด้วย
นายสนธิรัตน์ ยังได้ให้มุมมองเรื่องการเกษตรกับการแก้ปัญหาความยากจนไว้ด้วยว่า หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาความยากจน คือ ต้องแก้จากภาคการเกษตร ถ้าพลิกฟื้นเรื่องเกษตรได้จะพลิกฟื้นความยากจนได้
ทุกวันนี้ เกษตรกรประเทศไทยยังยากจน เพราะโครงสร้างเกษตรที่ผ่านมามีความซับซ้อนในตัวมาก เราอยู่ในวังวนผลผลิตต่ำ ต้นทุนสูง ขาดความรู้ ติดอยู่กับแนวคิดเดิมๆ ซึ่งวันนี้ 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องแก้ให้ได้ คือ 1. โจทย์การแก้ปัญหาที่ชัดเจนในเรื่องที่ดินทำกิน พื้นที่ชลประทาน และการบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ 2. ลดการพึ่งพา เช่น เรื่องปุ๋ย และพลังงาน
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสมหาศาล ผมเชื่อว่าการเมืองกับราชการต้องปรับตัว ไม่ได้บอกว่าราชการไม่ดี ราชการมีกฎระเบียบ และกฎหมายคุมอยู่ แต่การเมืองจะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดี อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบราชการ เกื้อกูลเอกชน เราต้องช่วยกันสร้างองค์ประกอบประเทศให้ไปด้วยกันให้ได้
ที่สำคัญ อย่ายอมกับสิ่งที่เป็นตัวซ่อนลึกอยู่ในปัญหาของการจัดการประเทศ และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะถูกแก้ปัญหาด้วยระบบดิจิทัล การใช้ระบบดิจิทัลโปร่งใสมาก เป็นข้อมูลจริงออนไลน์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ลดปัญหาคอรัปชั่น นี่คือโลกที่เปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี เราทุกคนต้องช่วยกัน” นายสนธิรัตน์ กล่าว