วันนี้ (8 ส.ค.65) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย พร้อมนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เข้ายื่นคำร้องต่อประธาน กกต. ขอให้เอาผิดกับพรรคการขนาดเล็ก กรณีมีกระแสข่าวส.ส.พรรคการเมืองขนาดเล็กรับเงิน (กล้วย) จากพรรคการเมืองใหญ่เพื่อแลกกับการโหวตลงมติไว้วางใจรัฐบาล
รวมทั้งตรวจสอบว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายพรรคการเมืองใหญ่ครอบงำ ชี้นำในการดำเนินกิจกรรมการทางการเมือง เข้าข่ายขัดมาตรา 28 มาตรา 29 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองเป็นเหตุให้ยุบพรรค
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า บรรดาพรรคเล็ก ที่ชอบกินกล้วย ก็ต้องหันไปซบพรรคใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือพรรคพลังประชารัฐ และปล่อยให้พรรคพลังประชารัฐเข้าครอบงำ โดยไปรับเงินรายเดือนจากเขา เช่น พรรคพลังไทยรักไทย พรรคประชาธรรมไทย พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคครูเพื่อประชาชน พรรคพลังชาติไทย ที่ไปพบปะกันที่มูลนิธิป่ารอยต่อ และมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้จ่ายเงิน
แม้แกนนำพรรคการเมืองขนาดเล็กเหล่านี้จะอ้างว่าเงินที่ได้รับเงินกู้ ก็ไม่น่าเชื่อถือ ตรงนี้เรามีคลิปเสียงหัวหน้าพรรค 7 พรรคที่พูดสารภาพว่ารับเงินจริงเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจน ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นกระทำที่ผิดพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคเมือง คนที่ยินยอมให้เขาครอบงำ ควบคุมพรรค ก็จะผิดตามมาตรา 28 ซึ่งมีโทษถึงยุบพรรค ส่วนพรรคพลังประชารัฐที่เข้าไปครอบงำเขาจะมีโทษหนักกว่า โดยหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 1แสน -5 แสนบาท
“ในอดีตพรรคไทยรักไทยเคยเข้าไปครอบงำจ้างพรรคเล็กไม่ให้ลงก็ถูกตัดสิทธิไป อันนี้ถ้าว่ากันตรง ๆ ตามพยานหลักฐาน ไม่เอาพลังอำนาจจากไหนมาบีบกกต. ขอให้กกต.อิสระจริงๆ การกระทำนี้ต้องถือว่าเป็นความผิดทั้งผู้ให้ ผู้รับ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้ากกต.ไม่เบี้ยวนะ พยานหลักฐานที่เรานำมามอบให้กกต.มันชัดเจนสามารถนำไปสู่การยุบพรรคได้ และอีกทางหนึ่งพรรคกรณีนี้ถือว่ารับทรัพย์สินเกินกว่า 3 พันบาท ก็ได้ยื่นร้องต่อป.ป.ช.แล้ว”
ด้านนายสมชัย กล่าวว่า ที่ยื่นวันนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในมาตรา 28 มาตรา29 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าการที่บุคคลภายนอกมาครอบงำพรรคการเมืองมีความผิดชัดเจน ซึ่งการเขียนกฎหมายดังกล่าวนั้นก็เพื่อให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมของพรรคอย่างเป็นอิสระ ไม่ใช่อยู่ภายใต้อาณัติการชี้นำ การบงการของคนภายนอก เรื่องพรรคการเมืองที่ครอบงำซึ่งกันและกัน
เคยมีคดีแล้วเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2549 ขณะนั้นมีเหตุการณ์ที่ว่าพรรคใหญ่ครอบงำพรรคเล็ก โดยการให้พรรคเล็กโกงการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้คะแนนเสียงไม่เกิน 20% ของคนที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง จากนั้นมีการฟ้อง กกต. และพรรคการเมืองที่กระทำความผิด และกกต.โดนข้อหาไปสนับสนุนให้พรรคใหญ่ทำผิดได้
ด้วยเหตุที่ว่ากกต.ไปหย่อนเวลาในการรับฟังเพื่อให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ และกกต.ไปอนุญาตให้พรรคเล็กสามารถย้ายพรรค ซึ่ง2 ข้อกล่าวหานั้นเป็นเพราะกกต.วางตัวไม่เป็นกลางในการเลือกตั้งครั้งนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือ กกต.ติดคุก และพรรคการเมืองใหญ่นั้นถูกยุบ ดังนั้นหลักฐานในเหตุการณ์ครั้งนี้ชัดเจนว่ามีการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองเป็นรายเดือน มีการโอนเงินเข้าโอนออก ทราบเลขบัญชี และมีชื่อคนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นหลักฐานชัดเจนขนาดนี้เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องดำเนินการโดยเร็ว และตรงไปตรงมา
นายสมชัย กล่าวอีกว่า ภายใต้สภาพ กกต.ที่เป็นอยู่ปัจจุบันสามารถดำเนินการได้เสร็จภายใน 1 เดือน จากนั้นถ้ากกต.มีความเห็นสอดคล้องกับการยื่นคำร้องนี้ กกต.ต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคที่ผ่านมาในอดีต เชื่อว่าจะดำเนินการได้ 15 วันก็เสร็จ
“หวังว่าวันนี้ที่เรามายื่นจะทำให้กกต.ทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา และต้องสื่อสารกับประชาชนว่าเรื่องนี้คืบหน้าอย่างไรบ้าง เพราะเท่าที่ดูคะแนนความโปร่งใสของกกต.คือสอบตก ฉะนั้นเรื่องนี้จะเป็นการกู้คืนศักดิ์ศรีของ กกต.ว่าทำงานตรงไปตรงมา วันนี้อาจจะมีคนที่ท่านคิดว่าเขาช่วยเหลือท่านอยู่ แต่วันหน้าเรื่องราวเหล่านี้ยังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา จึงอยากขอเตือนในนามคนที่เคยเป็นกกต.มาก่อนว่า เราเองไปปรารถนาจะเห็นคนของกกต.นั้นเป็นคดีความ หรือจะต้องติดคุกตอนแก่” นายสมชัย ระบุ