“บิ๊กป้อม”ลั่น! มันจบไปแล้ว หลังกมธ.ปปช.จ่อรื้อคดีนาฬิกาหรู

06 ก.ย. 2565 | 07:24 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2565 | 14:48 น.

“มันจบไปแล้ว” "บิ๊กป้อม" ลั่น!​ หลังถูกสื่อจี้ถาม​ ปมกรรมาธิการ ปปช. สภาผู้แทนราษฎร เตรียมฟื้น"คดีนาฬิกาหรู"

 วันที่ 6 ก.ย.2565   พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธตอบถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร หรือกรรมาธิการ ป.ป.ช. ของสภาผู้แทนราษฎร เตรียมรื้อฟื้นคดีนาฬิกาหรู ของพลเอกประวิตรที่อ้างว่ายืมเพื่อนและอยู่ในบัญชีทรัพย์สินมรดกของเพื่อน โดยส่ายหน้าส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับระบุสั้นๆเพียงว่า มันจบไปแล้ว

 

 พลเอกประวิตร ยังปฏิเสธตอบกรณี กรรมาธิการ ป.ป.ช. เรียก น้องชายพลเอกประวิตร เข้าชี้แจงกรณีการแต่งตั้งสิบตำรวจโทหญิงและสิบโทหญิงเข้ารับราชการตำรวจและทหาร

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.65 ที่ผ่านมา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ.ป.ป.ช. แถลงกรณีนาฬิกาเพื่อนว่า ก่อนหน้านี้ในการแสดงบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร ทั้งปี 51 ปี 54 ปี 55 และปี 57 ไม่เคยแสดงบัญชีทรัพย์สินว่ามีนาฬิกาหรูเป็นของตนเอง ดังนั้นสื่อมวลชนจึงสืบหา

 

และพบว่าพล.อ.ประวิตร มีนาฬิกาหรูอีก 20 กว่าเรือนที่ใส่ไปในงานต่างๆ โดยเฉพาะช่วงปี 60 มีมากเป็นพิเศษ จึงมีการตั้งคำถามว่านาฬิกาหรูมาจากไหน ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งกรรมการสอบ ต่อมามีการแก้ข้อกล่าวหาว่าเป็นนาฬิกาของเพื่อน ชื่อนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ โดยยืมมาใส่

 

แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่เคยเห็นภาพนายปัฐวาทใส่นาฬิกาหรูสักเรือนเดียวใน 20 เรือนที่ปรากฎเป็นข่าว ซึ่งผลสอบของป.ป.ช. เชื่อว่าเป็นนาฬิกายืมเพื่อนมา จึงมีมติ 5 ต่อ 3 ให้ยุติเรื่องนี้ ทำให้เป็นสิ่งที่คาใจประชาชน  เพราะปี 57 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และวุฒิสภา เพื่อตั้งองค์กรอิสระที่มีสายมาจากคสช. เชื่อมโยงอำนาจรัฐประหารมีการแทรกแซงโดยใช้มาตรา 44 แต่งตั้งกรรมการป.ป.ช. และประธานป.ป.ช. ก็เป็นอดีตเลขาฯ ของพล.อ.ประวิตร

 

ถามว่ามีการสอบเรื่องดังกล่าวให้สิ้นกระแสความก่อนยุติเรื่องหรือไม่ และส่งเรื่องให้กรมศุลกากรไม่มีการสอบรายละเอียด ตนถามว่าทำไมจึงต้องยุติเรื่องนี้ และการตรวจสอบบัญชีทรัพย์มรดกไม่มีการดำเนินการตรวจสอบตามพ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา ให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องไปบริษัทแม่ว่านาฬิกาเหล่านั้นเป็นของใคร แต่ ป.ป.ช.กลับส่งเรื่องไปอย่างผิดธรรมเนียม จึงทำให้ไม่ได้มีเรื่องส่งกลับมา

 ต่อมา กมธ.ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วพบว่าศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในฐานะทายาท เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อ กมธ.ได้เอกสารมาไม่ปรากฎว่ามีนาฬิกาหรูอยู่สักเรือนเดียว แสดงว่าสิ่งที่ตั้งข้อสันนิษฐานตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นเป็นจริง

 

และป.ป.ช.ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ โดยรีบสรุปเรื่องจนมีมติ 5 ต่อ 3 ยุติเรื่องดังกล่าว ดังนั้นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 54 บัญญัติว่าให้กรรมการป.ป.ช.รับหรือยกเรื่อง กรณีที่ ป.ป.ช.วินิจฉัยเด็ดขาดแล้ว เว้นแต่มีพยายานหลักฐานใหม่ ที่มีสาระสำคัญของคดีทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป

 

ซึ่งเชื่อว่ากรรมการป.ป.ช.ทั้ง 3 เสียงอยากให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้สิ้นกระแสความ จึงขอให้ 1 ใน 3 เสียงเสนอเพื่อนำเรื่องนี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง เพราะมีหลักฐานใหม่และ 3 คนนี้ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดี รวมทั้งขอให้กรรมการ ป.ป.ช.อีก 5 คนช่วยตรวจสอบด้วย

 

และขอความร่วมมือให้สำนักงานอัยการสูงสุดทำเรื่องไปบริษัทแม่ว่า นาฬิกาหรูดังกล่าวเป็นของใครกันแน่ รวมทั้งขอให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบซีเรียลนัมเบอร์ที่มีการเปิดเผย เพื่อดำเนินการคู่ขนานกันไป และในวันที่ 7 ก.ย. กมธ.ป.ป.ช.จะเชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร มาให้ข้อมูลในฐานะผู้จัดการมรดก