ศาลสั่งคุก 16 เดือน “นริศร ทองธิราช”อดีตส.ส.เพื่อไทย คดีเสียบบัตรแทนกัน

22 ก.ย. 2565 | 10:18 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ย. 2565 | 17:26 น.

ศาลฎีกานักการเมืองสั่งจำคุก “นริศร ทองธิราช” อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย 2 ปี ลดโทษเหลือ 16 เดือน คดีเสียบบัตรแทนกันในการโหวตร่างแก้ไขรธน.วาระ 2 เมื่อ 10 ก.ย.56 ชี้พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอลงโทษ

วันที่ 22 ก.ย.2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.36/2562 ระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) โจทก์ นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำเลย กรณีนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งบัตรจริงของจำเลย และบัตรของสมาชิกรัฐสภารายอื่นจำนวนหลายใบ เสียบลงในเครื่องออกเสียงลงคะแนน และกดปุ่มแสดงตน พร้อมกับปุ่มลงคะแนน ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ในวาระที่ 2 เมื่อ 10 ก.ย. 2556 หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "คดีเสียบบัตรแทนกัน" โดยจำเลยให้การปฏิเสธ 

 

ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วมีปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยเบิกความยอมรับว่า บุคคลที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์คือจำเลย อันเจือสมกับคำเบิกความของพยาน ศาลส่งคลิปวีดิทัศน์ไปตรวจพิสูจน์ดูแล้วไม่พบร่องรอยการตัดต่อ ฟังได้ว่า จำเลยนำบัตรหลายใบเสียบเข้าเครื่องลงคะแนนตามที่ปรากฏภาพในคลิปวีดิทัศน์ทั้ง 3 คลิปจริง

ปัญหาต่อไปว่า การที่จำเลยนำบัตรหลายใบใส่เข้าไปในเครื่องลงคะแนน ตามที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ เป็นการลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นหรือไม่ พยานโจทก์หลายปากเบิกความว่า บัตรในคลิปวีดิทัศน์เป็นบัตรจริง และมีจำนวนมากกว่า 1 ใบ เหตุที่ทราบว่า เป็นบัตรจริง เนื่องจากเป็นบัตรที่มีรูป การกระทำของจำเลยเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน อันส่งผลให้ปรากฎผลการลงคะแนนหลายครั้งสำหรับบัตรแต่ละใบได้ 


จึงฟังได้ว่า จำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่น เมื่อไม่มีการออกบัตรใหม่แทนบัตรใบเดิม จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะมีบัตรจริงหลายใบดังที่อ้าง บัตรเดิมไม่สามารถลงคะแนนได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะต้องนำบัตรที่ถูกยกเลิกไปแล้วมาใช้บัตรจริง และบัตรสำรองจะแสดงผลการลงคะแนนเพียงครั้งเดียว 

จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องใส่ทั้งบัตรจริงและบัตรสำรองลงในเครื่องอ่านบัตร ภาพตามคลิปวีดิทัศน์ปรากฏว่า มีสัญญาณไฟกระพริบทุกครั้งที่ใช้บัตรแต่ละใบ แสดงว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนทั้งสิ้น พยานหลักฐานฟังได้ว่า จำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นจริง


แม้ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศให้รัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 แต่ก็หาได้มีผลเป็นการลบล้างว่า ไม่มีการกระทำของจำเลยอันมิชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น หรือมีผลกลับกลายเป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด


ที่จำเลยอ้างเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง เห็นว่า การใช้เอกสิทธิ์ดังกล่าวต้องชอบด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ตลอดจนอยู่ภายใต้คำปฏิญาณตน เอกสิทธิ์ดังกล่าวจึงมิได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดทางอาญา ให้จำเลยสามารถลงมติแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่นได้


การกระทำของจำเลยตามฟ้อง เป็นการกระทำต่างวันเวลากัน ความผิดแต่ละคราวอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่าง หากจากกันได้ จึงเป็นความผิด 2 กรรม


พิพากษาว่า จำเลย (นายนริศร) มีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91


องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุก กระทงละ 1 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 16 เดือน 


พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดใด ๆ มาก่อน ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษได้