เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2565 รายการคมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีออนไลน์ ดำเนินรายการโดย วราวิทย์ ฉิมมณี ได้เชิญ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ร่วมเฉลยความในใจถึงการตัดสินใจผสานความร่วมมือระหว่าง "พรรคชาติพัฒนา"กับ "พรรคกล้า" จนมาเป็น "พรรคชาติพัฒนากล้า" อันเป็นสูตรลงตัวทางการเมือง
"วราวิทย์" เปิดฉากถามแบบเจาะลึกถึง การรวมกันครั้งนี้กับพรรคกล้าจะแตกต่างอย่างไรกับอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าในอดีตดูไม่ค่อยมั่นคงยาวนานอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตอนนั้นหรือเปล่า
"สุวัจน์" - พรรคชาติพัฒนาอาจจะมองว่าเป็นพรรคเล็กแต่ความอาวุโสทางการเมือง 30 ปีเป็นรองแค่พรรคประชาธิปัตย์เองนะครับ เราเป็นพรรคที่มีประสบการณ์ฉะนั้นพรรคชาติพัฒนาไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจหรือพรรคเล็ก เพียงแต่เลือกตั้งที่ผ่านมาได้เสียงน้อย
การปรับเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เป็นเรื่องของการที่ทำให้พรรคอยู่กับสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน พี่น้องประชาชนต้องการอะไร วิกฤติเศรษฐกิจขนาดนี้พี่น้องประชาชนต้องการอะไร ปรับโครงสร้างรีแบรนด์เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและนำพาพรรคประสบความสำเร็จเลือกตั้งได้
นายสุวัจน์ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เราต้องเผชิญกับสองปัญหา อันดับหนึ่งคือวิกฤตเศรษฐกิจผลกระทบทั้งภายในและภายนอกประเทศ บอกได้เลย 30 ปีที่ผมอยู่ในวงการเมืองมา ผมคิดว่าบ้านเมืองวิกฤติเศรษฐกิจมากที่สุด
"ผมคิดว่าเลือกตั้งครั้งนี้พี่น้องประชาชนจะให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ ว่าใครสามารถแก้ไขเรื่องปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน แต่ขณะเดียวกันถึงแม้จะมีวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่จริงๆที่ซ่อนลึกอยู่กับมาสิบกว่าปีก็คือวิกฤติการสร้างความขัดแย้งทางการเมือง ก็ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาแต่การเมืองที่มีปัญหาของประเทศ"
ฉะนั้นผมคิดว่าต้องแก้ทั้งสองปัญหา ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพทางเมืองโดยการลดความขัดแย้ง พรรคชาติพัฒนามองทั้งสองปัญหา ผมอยากให้การเลือกตั้งหลังความขัดแย้งหรือรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ เป็นเรื่องของความมั่นใจด้วย แล้วมันจะไปกระทบการแก้ไขจากนี้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
เรามีจุดยืนทางการเมืองเราจะเดินทางสายกลางเป็นส่วนสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง เราจะเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน เราเปิดกว้างเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ยึดโยงปัญหาของประเทศเป็นหลัก
ถ้าถามว่าใครจะเป็นแคนดิเดตนายกฯตอนนี้ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย เอาเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจมาพูดอย่างเดียวเลย เราไม่ได้มองเรื่องแคนดิเดตนายกฯเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่วันนี้เราต้องการทีมเศรษฐกิจแล้วคุณกรณ์ก็ชวนคนประมาณ 40 กว่าคนมาร่วมกันทำงานเป็นทีมเศรษฐกิจ ตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจว่าทีมเศรษฐกิจของเราเข้มแข็ง
"วราวิทย์" ถามรุกต่อว่า เป็นการรวมกันระหว่างสองพรรคเพื่อหนีตายสูตรหาร 100 ที่คำนวณกันว่าพรรคเล็กสูญพันธุ์แน่
"สุวัจน์" กล่าวปฏิเสธไม่เคยคิดว่าจะสูญพันธุ์ ไม่เคยคิดว่าจะหนีตายเพราะเรามีที่มาที่ไป ฉะนั้นการที่เชิญคุณกรณ์มาไม่ใช้เป็นการหนีตายแต่เป็นเรื่องของการสร้างพลังเพื่อมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับหาร 100 หรือหาร 500 ตราบใดที่ขอให้กติกาเลือกตั้งเป็นธรรม อันนี้สำคัญมากเพราะกติกาเลือกตั้งที่เป็นธรรมจะนำไปสู่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง เมื่อยอมรับผลการเลือกตั้งก็จะทำให้เสถียรภาพทางการเมืองเกิดการยอมรับในรัฐบาล
"วราวิทย์" ถามถึง วันพิจารณาคดี "พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา" ของศาลรัฐธรรมนูญ ครบ 8 ปี มองทิศทางอนาคตอย่างใดในฐานะผู้มีประสบการณ์
"สุวัจน์" มองว่า มี 3 ทางคือ อายุครบ 8 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไม่ได้ ก็หานายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือเป็นต่อไป เริ่มนับปี 2560 หรือ 2562 แต่จะออกมาอย่างไร กลไกรัฐธรรมนูญรองรับไว้แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าหวยจะออกตัวไหน ไม่ต้องไปวิตกกังวล แต่ตนเองมองข้ามช็อตไปแล้วว่า จะตัดสินอย่างไรคำตอบที่สำคัญคือ การเลือกตั้ง ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเป็นคำตอบของรัฐบาล เพราะอายุรัฐบาลชุดนี้ก็ต้องจบเดือนมีนาคม 2566
"วราวิทย์" ถามว่า ไทม์ไลน์การเลือกตั้งออกมาแล้ว แต่กลับมีรัฐมนตรีบางคนบอกอาจไม่มีการเลือกตั้ง ได้กลิ่นอะไรมาหรือไม่
"สุวัจน์" ยืนยันว่าไม่มีกลิ่นของการมีอำนาจนอกระบบมาแทรกแซง เพราะมองว่าการเลือกตั้งคือทางออกของประเทศ เหลืออีกเพียง 6 เดือน ขณะนี้ประเทศก็มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเหลือแค่การเลือกเร็วหรือเลือกช้าแค่นั้น ซึ่งอีก 6 เดือนก็จะได้เวลา หากมีการเลือกตั้งเร็วถือว่าจะเป็นประโยชน์ที่สร้างความชัดเจนทางการเมือง
ปัญหาบ้านเมืองคือวิกฤตเศรษฐกิจ เราต้องมีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เพราะ 6 เดือนสุดท้ายก็จะเป็นช่วงของการเปลี่ยนถ่าย นักลงทุนรอการเลือกตั้ง ที่ต้องมีนโยบายเศรษฐกิจที่ต่างชาติมั่นใจ ซึ่งพวกเขารอดูอยู่ ไม่ต้องตกใจ ยิ่งมีการเลือกตั้ง เท่าไหร่ก็จะมีนโยบายใหม่มาแก้วิกฤตได้ ซึ่งพื้นที่ฐานประเทศไทยดีอยู่แล้วทั้งการท่องเที่ยว และพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
"วราวิทย์" ถามว่า การเมืองใหม่มาอาจมีการพลิกขั้วอำนาจ การรัฐประหารอาจมีการพูดถึง
"สุวัจน์" ปฏิเสธไม่ได้กลิ่นปฏิวัติรัฐประหาร และไม่ได้ยินว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง บรรยากาศทุกพรรคพร้อมลงสนามเลือกตั้ง เพราะพี่น้องประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน คนไทยไม่ต้องตกใจ เพราะการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ดี ต่อประเทศและประชาชน
"วราวิทย์" ถามว่า 30 กันยายนนี้จะเป็นอย่างไร มองข้ามช็อตไปแล้วหรือ
"สุวัจน์" บอกว่า สำหรับประเทศ มองข้ามช็อตไปแล้ว สำหรับประเทศมองเรื่องการเลือกตั้ง สิ่งสำคัญมากว่า
"วราวิทย์" ถามรุกต่อว่า แต่หาก"พล.อ.ประยุทธ์" อยู่ต่อ อาจมีผลต่ออนาคตขั้วอำนาจ 3 ป. ทิศทางอย่างไร
"สุวัจน์" กล่าว เปรียบเทียบการเลือกตั้งปี 2562 กับการเลือกตั้งปี 2566 ที่จะเกิดในอนาคต ว่า การเลือกตั้งปี 2562 หลังรัฐประหาร เป็นบรรยากาศ ที่มี มาตรา 44 ที่ทำอะไรก็ได้จนมีรัฐบาลใหม่ เป็นปัจจัยต่อการเลือกตั้ง และไม่มีโควิด วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่มีความขัดแย้ง
แต่สำหรับการเลือกตั้งปี 2566 ที่จะเกิดขึ้น ความขัดแย้งทางการเมืองยังอยู่ แต่ปัญหาปากท้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ปัญหาพลังงาน มีปัจจัยที่มาเติม โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจะเป็นตัวแปรของการตัดสินใจ
"สุวัจน์" เชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ที่ทุกคนเห็น เป็นยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองที่ต้องมองเห็นและไปเสริมจุดแข็งจุดอ่อน วางกลยุทธ์เพื่อการเลือกตั้ง
"วราวิทย์" ถามว่า ครั้งหน้า ก็ยังมี ส.ว.ยังเลือกนายกรัฐมนตรีได้อยู่ อาจมีผลต่อการเลือกขั้วอำนาจ
"สุวัจน์" ไม่กังวลใจ เพราะมองว่า วุฒิสมาชิก แม้จะมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่วุฒิสมาชิก คงจะต้องพิจารณาว่า สภาล่างที่มีการเลือกตั้งมาใครเป็นเสียงข้างมาก และใครที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ถ้าได้คะแนนเกินครึ่งมาแล้ว คิดว่าวุฒิสมาชิกคงจะไม่กล้าฝ่าฝืนประเพณีปฏิบัติที่เคยเกิดขึ้นไม่กังวลต่อวุฒิสมาชิก เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบเอาไว้
แต่หากวุฒิสมาชิกไปเลือก พรรคที่มีเสียงข้างน้อยมาเป็นรัฐบาล และอยู่ได้แค่เดือนเดียว ไม่มีเสถียรภาพ วุฒิสมาชิกต้องรับผิดชอบ เชื่อว่า วุฒิสมาชิกเป็นสภาฯ กลั่นกรองที่เป็นผู้ใหญ่ วิเคราะห์ จากประสบการณ์ น่าจะไม่กล้าฝืนประเพณีปฏิบัติมา
"วราวิทย์" ถามว่า เป็นไปได้หรือไม่จะมีการ จับมือกันข้ามขั้วทางการเมือง ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง
"สุวัจน์" มองว่า เลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีขั้ว เพราะมีประสบการณ์ทางการเมืองมา 30 ปีไม่เคยเจอวิกฤต การเมืองและบ้านเมืองที่บอบช้ำมาเป็นแบบนี้ และเสถียรภาพการเมือง ที่ดึงบ้านเมืองให้เกิดวิกฤต อยากเห็นการเมืองแบบ "ลบเทป" คือยอมรับการตัดสินของประชาชน
"วราวิทย์" ถามว่า จะเกิดขึ้นได้จริงหรือ การไม่มีขั้วทางการเมือง
"สุวัจน์" มองว่า ตอนนี้เห็นว่า การแบ่งขั้วประเทศชาติเสียหาย พี่น้องประชาชนขาดทุน เกิดวิกฤตประเทศ เรื่องเหล่านี้อยู่ในใจพรรคการเมืองและนักการเมือง ว่าดีกรีความขัดแย้งจะลดลงมาได้หรือไม่ เพื่อเปิดช่องให้มีการพูดคุย ไม่ให้การเมืองถึงจุดที่หาทางออกไม่ได้ ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจจะพังพินาศ
"วราวิทย์" ถามเรื่องที่ พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายแลนด์สไลด์ และเป็นบันไดขั้นแรก จะพาคุณทักษิณกลับบ้าน จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
"สุวัจน์" ไม่สามารถจะฟันธงได้ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีพรรคหนึ่งพรรคใดได้เสียงเกินกว่าครึ่งประเทศหรือไม่ แต่ตนเองมองเรื่องเศรษฐกิจสำคัญที่สุด หากพรรคไหนที่มีนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเป็นที่ยอมรับประชาชน พรรคนั้นจะเป็นผู้ชนะ มากหรือน้อย อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง
"วราวิทย์" ย้ำว่า กังวลหรือไม่หากพรรคเพื่อไทย จะมีนโยบายเอาคุณทักษิณกลับบ้าน ปัญหาประเทศก็จะไม่จบ
"สุวัจน์" เชื่อว่า พรรคการเมืองทุกพรรคมองประสบการณ์เคยเกิดอะไรขึ้น ย่อมมีความระมัดระวังและปัจจุบันต้องนึกถึงประเทศเป็นหลัก
"วราวิทย์" ประเมินว่า พรรคชาติพัฒนากล้า จะได้กี่ที่นั่ง
"สุวัจน์" บอกว่า สำหรับชาติพัฒนากล้า อยากได้ส.ส.เยอะ เพราะ หากจะให้เราแก้เศรษฐกิจ และเราเคยได้ คะแนน 60 เสียง แต่ปัจจุบันเราได้ 3 ที่นั่ง ขณะนี้อยากได้เสียงเยอะๆ เพราะการเมือง เมื่อเวลาพูดในสภาฯแม้จะใช่ด้วยเหตุผล แต่เมื่อโหวต เราก็ไม่ได้สิ่งนั้นเพราะวัดกันที่เสียงพลังในการผลักดัน วัดกันที่เสียง หากจะให้พรรคเข้าผลักดันแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็ต้องให้ได้คะแนนเสียงเยอะๆๆ เรามั่นใจ