วันที่ 9 ก.ย.2565 นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ภาคกลาง พร้อมด้วยทีมงาน ร่วมเปิดศูนย์ประสานงานพรรคสร้างอนาคตไทย อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งนับเป็นศูนย์ประสานงานพรรคในพื้นที่ภาคกลางเป็นแห่งแรก
โดยมี นายประวิทย์ สุวรรณสัญญา เป็นผู้ประสานงานพรรค พร้อมกับพบปะพูดคุยพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ภายในงานมีประชาชนมาร่วมแสดงความยินดี และมอบดอกไม้เพื่อให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก โดยก่อนการพูดคุยกับพี่น้องประชาชน นายวัชระได้นำไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่ จ.หนองบัวลำภู โดยการยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 30 วินาที
นายวัชระ กล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้มาเป็นประธาน แต่มาเยี่ยม และมาเป็นมือเป็นไม้ให้น้องชายอย่าง นายประวิทย์ ซึ่งวันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะเปิดศูนย์ในวันที่พี่น้องประชาชนกำลังมีปัญหามากมาย
“ผมไม่ต้องการให้ นายประวิทย์ หรือ ผมเองอยู่บนแปลงผักชี คือมาแล้วทุกอย่างดูดี สวยงาม คนเยอะ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อยากให้ศูนย์ประสานงานแห่งนี้เป็นแค่ศูนย์ที่ติดสติ๊กเกอร์สวยๆ แต่จะต้องเป็นศูนย์ที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ต่างๆของพี่น้องประชาชนโดยตรงจริงๆ”
นายวัชระ กล่าวว่า พรรคสร้างอนาคตไทยเป็นพรรคใหม่ ภายใต้การนำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค และอดีตรองนายกรัฐมนตรี พรรคนี้ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก เพราะมีบุคลากรของพรรคเป็นมือเศรษฐกิจที่ดีกว่าทุกพรรคการเมือง
“ปัญหาที่หนักที่สุดของประเทศนี้ คือ เรื่องปากท้องของประชาชน พรรคนี้ไม่มีสี ไม่มีขั้ว ไม่แบ่งพวก ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องโดยเฉพาะ และหากเปรียบเทียบว่าพรรคการเมืองเป็นครอบครัว พรรคของเราเป็นพรรคที่มีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อยู่ร่วมกัน ที่มีทั้งคนที่เข้าวัด และคนที่เข้าผับ แตกต่างหลากหลายกันอยู่ในพรรค อาจจะมีความเห็นต่างในพรรคบ้าง แต่นี่คือความเป็นจริงของประเทศไทย พรรคการเมืองที่ดีต้องทำงานกับประชาชนที่หลากหลาย ต้องฟังความเห็นของกันและกัน ถ้าสุดโต่งไปประเทศก็จะไปไม่รอด”
นายวัชระ กล่าวว่า พื้นที่ภาคกลางไม่ว่าจะเป็นพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี หรือ จังหวัดอื่น ๆ ในความเป็นจริงแล้วเป็นภาคที่อาภัพ เพราะถ้าดูเผิน ๆ แล้วดูเหมือนจะเจริญและดูสุขสบาย แต่ถ้ามองลึกๆ ในข้อเท็จจริงแล้ว เราจะพบว่าจังหวัดเหล่านี้เจริญเพราะอยู่ติดกรุงเทพฯ เป็นการเจริญเติบโตตามธรรมชาติของภาคเศรษฐกิจ และภาคประชาชนเท่านั้น ไม่ได้เจริญเติบโต เพราะการพัฒนาจากนโยบายรัฐ หรือจากการนำความเจริญของฝ่ายการเมืองอย่างจริงจังแต่อย่างใด บางจังหวัด 30 ปีผ่านไปก็ยังเป็นแบบนั้น มีเพียงตึกรามบ้านช่องที่สร้างขึ้นมาใหม่ ก็ไม่มีการพัฒนาอย่างจริงๆ จังๆ ใดๆ เลย
“ภาคกลางต้องเลิกเป็นลูกเมียน้อยในด้านการพัฒนาเสียที ควรมีนโยบายสำหรับภาคกลางโดยเฉพาะ ที่เหมาะสมกับภาคนี้หรือแต่ละกลุ่มจังหวัด”
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า “ถ้าเปรียบความเจริญของประเทศนี้เป็นความเจริญของย่านสีลม ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองสวยงาม เวลาเราผ่านย่านสีลม เราก็จะเห็นตึกรามบ้านช่องใหญ่โตเต็มไปหมด แต่ความเจริญของอยุธยา หรือ จังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง ผมอยากเปรียบเสมือนเป็นซอยๆ หนึ่งในย่านสีลม ที่เราเดินเข้าไปในซอยแล้วยังอาจพบว่ามีสลัม มีบ้านเช่า หรือ ยังมีคนจน อาศัยอยู่
นี่คือสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกสูงใหญ่โต และที่หลายคนเข้าใจว่าเจริญแล้ว นี่คือความเป็นจริงที่เจ็บปวดของหลายจังหวัดในภาคกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคสร้างอนาคตไทยกำลังจะทำและแก้ไข คือจะยกภาคกลางให้เจริญได้ด้วยตัวเอง พรรคอื่นเขาจะทำหรือไม่ทำผมไม่รู้ แต่สำหรับพรรคสร้างอนาคตไทยผมจะเสนอให้ทำเรื่องนี้”
จากนั้น นายวัชระ และ นายประวิทย์ พร้อมด้วยทีมงาน ได้เดินทางไปยังพื้นที่ ต.กุฏี อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อลงเรือไปเยี่ยมเยียน และให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่