นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับชาติอื่นนั้น
รัฐมนตรีเอเปคของประเทศไทย คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ จะต้องทำหน้าที่จัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจในวันที่ 17 พ.ย. นี้ จากนั้นผู้นำจะประชุมกันวันที่ 18 และ 19 พ.ย.
สาระสำคัญของภารกิจวันที่ 17 พ.ย. จะประชุมในประเด็น เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล ซึ่งเป็น Theme ของการประชุม โดยจะนำไปสู่แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีเอเปคหรือประธานก่อนที่ผู้นำจะมีการประชุมกัน
หน้าที่ตรงนี้ทั้ง 2 คนจะเป็นผู้กุมบังเหียนการหารือ เจรจา หาข้อยุติ ตกลง ร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและมุ่งสู่เป้าหมายขยายการค้าขายระหว่างกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะรองรับสถานการณ์หลังโควิด-19
สาระตรงนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและศักยภาพรวมทั้งการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทยและไม่ให้เสียเปรียบชาติใดในเวทีโลกโดยเปิดโอกาสให้ประเทศและประชาชนเชื่อมโลกผ่าน 21 เขตเศรษฐกิจนี้
สำหรับข้อมูลการค้าระหว่างประเทศไทยกับเอเปคในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีมูลค่าการค้ารวม 315,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.31% ซึ่งคิดเป็น 69% ของการค้ารวมทั้งหมดของประเทศไทย
โอกาสของประเทศไทยจะมีโอกาสของตลาดการค้าโดยประชากรรวมกัน 21 เขตเศรษฐกิจนี้คือ 2,900 ล้านคน หรือ 38% ของประชากรโลก
ที่สำคัญประเทศไทยก็ขยายการส่งออก นำรายได้เข้าประเทศ จากตลาดเหล่านี้มาเป็นจำนวนมาก และเป็นที่ชื่นชมของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากรายได้จากการส่งออก กลายเป็นขาหลักในการช่วยประเทศชาติไว้ในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา
เรื่องนี้รองนายจุรินทร์ คอยแถลงข่าวทุกเดือน เกี่ยวกับผลความสำเร็จด้านการค้าและการส่งออกประเทศเรา ได้รับความชื่นชมและการตอบรับจากทั่วโลกเป็นอย่างดี
ส่วนจีดีพีของเขตเศรษฐกิจเอเปค มีรวมกันทั้งสิ้น 52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,900 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62% ของจีดีพีโลก และเมื่อเรานำประเทศมาอยู่ในจุดนี้ที่ประชาคมโลกเขาหารือเจรจากันนี่คือ เวทีที่จะนำประเทศเปิดตลาดการค้าเพื่อนำรายได้เข้ามาดูและประชาชนภายในประเทศ
เป็นโอกาสของทั้งคนตัวเล็กตัวน้อยโดยเฉพาะเป้าหมายของการประชุมครั้งนี้คือการเพื่อโอกาสให้ไปถึงระดับฐานราก กลุ่มเปราะบางทุกเพศทุกวัยและถ้าเป็นผู้ประกอบการก็ตั้งแต่ระดับ เอ็มเอสเอ็มอี และ เอสเอ็มอี (MSME -SME ) ขึ้นไป นี่จึงเป็นโอกาสของประชาชน