วันที่ 17 พ.ย. 2565 ที่ อ.เมือง จ.ตราด นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นประธานเปิดศูนย์ประสานงานพรรคสร้างอนาคตไทย จ.ตราด พร้อมด้วย นายกิตติธัช ไชยอรรถ ผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ตราด นายบุญสนอง หิรัญรักษ์ ผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ระยอง นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ พรรคสร้างอนาคตไทย โดยมีประชาชนในพื้นที่ร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง
นายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า จ.ตราด เป็นจังหวัดที่มี ส.ส.ได้คนเดียว อีกไม่กี่เดือนจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งครั้งนี้สำคัญมาก พี่น้องต้องเลือกให้ดี ต้องเลือกพรรคที่แก้ปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชนได้
วันนี้การเมืองเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของการเมือง แต่ที่ตนมาพบพี่น้องอยากบอกว่าพรรคสร้างอนาคตไทยเป็นพรรคใหม่ เราเป็นทีมเศรษฐกิจ บริหารเรื่องเศรษฐกิจมาโดยตลอด รวบรวมคนแก้ปัญหาบ้านเมือง แก้ปัญหาปากท้องการทำมาหากิน เราได้รับการยอมรับจากประชาชนว่า เป็นพรรคที่มีมือเศรษฐกิจที่มีฝีมือดีที่สุด เราจึงกล้าอาสามาพบพี่น้อง
“ผมขอบอกว่าเลือกตั้งครั้งหน้า คือ การเลือกตั้งเพื่อปากท้องของเราเอง ตราดมี ส.ส. ได้แค่คนเดียว ถ้าเราเลือกคนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องให้เราได้ ผลก็อยู่ที่ตัวพี่น้องเอง”
นายสนธิรัตน์ ย้ำว่า พรรคสร้างอนาคตไทยเป็นพรรคเศรษฐกิจ ไม่มีคำครหา ไม่มีประวัติด่างพร้อย ไม่มีคอร์รัปชัน มีแต่คนทำงาน พรรคเลือก นายกิตติธัช หรือชาติ มาเป็นผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ตราด เพราะเราอยากได้ส.ส.ที่มีหัวใจทุ่มเทให้ประชาชน เราอยากได้ส.ส.ที่เป็นตัวแทนพรรคที่ใกล้ชิดพี่น้องประชาชน ดังนั้น ถ้าพี่น้องอยากช่วยชาติ ขอให้เลือกชาติมาเป็น ส.ส.ตราด ขอให้เลือกพรรคสร้างอนาคตไทย ผมมองว่า จ.ตราด ยังเติบโตได้อีกเยอะ”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคสร้างอนาคตไทยเริ่มเสนอนโยบาย 2 ข้อ โดยทันทีที่เราเป็นรัฐบาล สิ่งแรกที่จะทำคือ พักหนี้พี่น้อง 5 ปีทั้งต้นและดอก จากนั้นจะเติมทุนเพื่อช่วยพี่น้องในการทำมาหากิน และนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก พรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมรับใช้พี่น้อง จ.ตราด แม้เราเป็นพรรคใหม่ แต่ไม่ใช่ของใหม่ เราเคยสร้างพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลมาแล้ว
จากนั้น นายสนธิรัตน์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังการประชุมเอเปค ว่า หลังการประชุมเอเปคจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะหลังจากวันที่ 30 พ.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งหากเสร็จสิ้น นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ความพร้อมในการเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้
ดังนั้น คาดว่าอาจจะเกิดการเคลื่อนย้ายของบิ๊กเนมต่างๆ ในทางการเมือง การประกาศจุดยืนและความชัดเจนทางการเมือง อาจจะเห็นการควบรวมพรรคที่อาจเกิดขึ้น บรรดานักการเมืองมีการลาออกการเป็นส.ส.ปัจจุบันไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ๆ
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การเมืองจากนี้ไปจะไม่สงบนิ่ง จะมีการแปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา และพร้อมที่จะไปสู่การเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ถือว่าเป็นเวลาที่เข้าสู่โหมดการเมืองอย่างแท้จริง ทั้งนี้ พรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
“เราได้เตรียมแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว หากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเร็ว เราก็จะใช้แผนระยะสั้น หากการเมืองยาวนานออกไปก็จะปรับแผนขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมือง”
ในส่วนผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคสร้างอนาคตไทย ขณะนี้เรามีความพร้อมลงสนามเลือกตั้งประมาณ 70% เวลาที่เหลือเราจะเร่งเดินเครื่องเต็มที่ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นบัตร 2 ใบ พรรคต้องวางยุทธศาสตร์ทั้งเรื่องส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ เราตั้งเป้าจำนวน ส.ส.ให้เพียงพอพร้อมรับใช้ประชาชน เรามีเป้าภายในที่ประเมินตลอดเวลา พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้ทะลุเป้าที่วางไว้