พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงผลการสอบสอบสวน นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ นายตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน ว่าจากการสอบสวนเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ และขอไปให้การในชั้นศาล ถือว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา
แต่ยืนยันว่าตำรวจมีหลักฐานชัดเจน พร้อมคัดค้านประกันตัว ซึ่งในวันนี้ (24 พ.ย.) พนักงานสอบสวนจะนำนายตู้ห่าวไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพฯใต้
หลังจากนี้จะตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มและยึดทรัพย์สินของเครือข่ายนายตู้ห่าวทั้งหมด ซึ่งจะเร่งทำคดีดังกล่าว ให้จบภายใน 3 สัปดาห์ พร้อมชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดให้สังคมรับทราบ รวมถึงจะรวบรวมหลักฐานเพื่อขยายผลไปถึง ทุนจีนสีเทาที่ใหญ่กว่า
รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง กับคดีกลุ่มทุนจีนหลายนายว่า ที่ผ่านมาดำเนินการกับตำรวจสน.ยานนาวาไป 2 นาย สน. ลาดพร้าว 1 นาย ส่วนรองผู้บังคับการนครบาล 6 ได้ทำหนังสือไปยังต้นสังกัด คือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาว่า อาจเข้าข่ายในเรื่องของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ที่ปล่อยรถยนต์ของกลางผู้ต้องหาไปโดยมิชอบ โดยเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด
ส่วนที่มีบุคคลนำเงิน มาแลกกับการปล่อยรถ จะเป็นหลานของนายตู้ห่าวหรือไม่นั้น ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด รวมทั้งกรณีตำรวจตม.ปล่อยให้คนจีนเข้ามา โดยออกวีซ่าเป็นนักศึกษา จะเรียกมาสอบปากคำทั้งหมด ถึงรายละเอียดของวีซ่าดังกล่าว เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีอายุมากกว่า 50 ปี
ขณะที่กรณีภรรยาของ นายตู้ห่าว ซึ่งมียศเป็นพันตำรวจเอก ตำรวจจะเชิญมาให้ปากคำ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเงิน และทรัพย์สินของ นายตู้ห่าวหรือไม่ หากพบผิดจะดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น แต่ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
“สำหรับกรณีของนางพัชรินทร์ ที่นายชูวิทย์ ส่งข้อมูลให้โดยระบุว่า เป็นภรรยาอีก1คน ของนายตู้ห่าว ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าความสัมพันธ์ของทั้ง 2 เป็นเช่นใด แต่ทราบว่านายตู้ห่าวมีพันตำรวจเอกหญิงเป็นภรรยา จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมาย และกำลังสอบสวนกลุ่มคนจีนที่ลักลอบมาทำธุรกิจในไทย หากพบผิดจะส่งตัวกลับไปยังประเทศจีนทั้งหมด ตอนนี้ประสานกับทางการจีนแล้ว”
ขณะที่ความสัมพันธ์ของนายตู้ห่าว ที่มีความเชื่อมโยงกับอดีตรัฐมนตรี และบุคคลที่เกี่ยวข้องในพรรคการเมือง ต้องสอบสวนรวบรวมหลักฐาน ให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก่อน แต่จะไม่เชิญตัวมาสอบปากคำ ซึ่งการรวบรวมหลักฐานเป็นหน้าที่ของตำรวจต้องให้ชัดเจน หากพบผิดจะออกหมายจับทันที
“นายกรัฐมนตรีกำชับให้ตำรวจทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย หากไม่รอบคอบจะทำให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสียไปด้วย