แม้จะผ่านพ้นการประชุม “เอเปค” ไปแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 19 พ.ย.2565 ที่ผ่านมา แต่จนถึงกระทั้งบัดนี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนอย่างเป็นทางการจาก บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า จะ “ไปต่อ” ทางการเมืองหรือไม่
แม้จะไม่มีความชัดเจนจากปาก “บิ๊กตู่” แต่ในทางการเมืองจากความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และกระแสข่าวที่ออกมา ทำให้ประเมินได้ว่า “บิ๊กตู่ไปต่อ” และเป็นการแยกทางกับ พี่ใหญ่-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปร่วมหอลงโรงกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ”
จิ๊กซอว์“บิ๊กตู่”ไปต่อ
หากนำ “จิ๊กซอว์” ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ มาต่อเข้าด้วยกัน ก็ทำให้เห็นชัดเจนถึงอนาคตทางการเมืองในการไปต่อเพื่อเป้าหมาย “นายกฯ สมัย 3” ดังนี้
วันอาทิตย์ที่ 20 พ.ย.65 พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าพบ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ แจ้งเรื่องการตัดสินใจลาจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ
วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.65 พล.อ.ประยุทธ์ เดินสายเช็กเรตติ้งคน กทม. ก่อนสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ ด้วยการลงพื้นที่บางกะปิ แบบส่วนตัว โดยไม่แจ้งภารกิจล่วงหน้า ส่งสัญญาณเตรียมไปต่อในสมัยหน้า
วันอังคารที่ 22 พ.ย.65 รัฐบาลออกหนังสือความยาว 450 หน้า โชว์ผลงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนครบวาระต้นปี 2566 โดยเฉพาะนโยบายปกป้องเชิดชูสถาบัน, การแก้ปัญหาโควิด, มาตรการการคลังช่วยเหลือประชาชน
วันพุธที่ 23 พ.ย.65 พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ปฏิเสธเรื่องการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่บอกว่า “พิจารณาอยู่”
วันพฤหัสบดีที่ 24 พ.ย.65 พล.อ.ประยุทธ์ เดินสายเช็กเรตติ้งพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ เป็นประธานคิกออฟมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และปราศรัยกับกลุ่มเกษตรกรและประชาชน
โดยพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ เป็นพื้นที่หลักของ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นายเอี่ยม ทองใจสด นายจรัส พั้วช่วย ที่มีข่าวย้ายออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ
วันศุกร์ที่ 25 พ.ย.65 พล.อ.ประยุทธ์ มอบนโยบายต่อสภาเกษตรแห่งชาติ โดยมีเกษตรกร ผู้แทนองค์กรเกษตรกร และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้ารับฟัง
คิกออฟช่วยผู้ปลูกข้าว
สำหรับการเดินทางไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2565 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นประธานในพิธีคิกออฟ มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566
พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดในสิ่งที่ทำให้ตีความหมายได้ว่า เป็นการหาเสียงทางการเมือง เพื่อไปต่อ ดังประโยคที่ว่า
“วันนี้มาในนามของนายกฯ หัวหน้ารัฐบาล และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ย้ำว่า ผมมาในนามรัฐบาล และทุกโครงการผมเป็นคนนำเข้า ครม. และพิจารณาร่วมมือกันในการอนุมัติ และพรรคร่วมรัฐบาลทุกคนก็เป็นรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วย ในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทั้งหมด สิ่งที่ต้องการคือ ความเข้าใจระหว่างกัน”
นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งด้วยว่า สิ่งแรกที่อยากจะบอก คือ จงภูมิใจในพื้นแผ่นดินไทยให้มากที่สุด เป็นดินแดนแห่งความสุขสงบและสันติ ใต้ร่มพระบารมี พระบรมมาโพธิสมภาร และอยู่ในร่มเงาของศาสนาทุกศาสนาที่อยู่ร่วมกันได้ คนไทยแตกแยกกันไม่ได้ ถ้าแตกแยกกันเมื่อไหร่ศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันที่มีอยู่จะหมดไปทันที ฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องเริ่มจากตัวเราไปสู่ชุมชน และสังคม และไปถึงระดับประเทศต้องรักกัน นั่นคือประเด็นที่สำคัญที่สุด
“รัฐบาลไม่ว่าจะใคร ไม่ว่าจะผม หรือ ใคร ก็ตามก็ต้องทำให้สิ่งเหล่านี้เข้มแข็งขึ้น เติบโตขึ้น รวมพลังให้มากยิ่งขึ้น เดินหน้าประเทศต่อไปเรา ทำแบบเดิมทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว ก็คาดหวังว่าที่ทำให้ได้ในวันนี้นั้นจะเป็นพื้นฐาน และเป็นแนวทาง มีอะไรที่ดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ วันนี้พูดเฉพาะข้าว แต่ต้องไปดูแลพืชถึง 6 ชนิด ซึ่งใช้งบประมาณมากขึ้นทุกปี วันนี้โชคดีที่ยังอยู่ในกรอบและราคาข้าวสูงขึ้น"
ลั่น“คงอยู่ไปอีกนาน”
พร้อมระบุว่า นอกจากเกษตรกรแล้ว ยังมีธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องดูแล เข้าใจในความลำบาก ประชาชนลำบาก ตนก็ยิ่งลำบากกว่า แต่อาจจะไม่ลำบาก เหนื่อยกาย เหนื่อยใจเท่า แต่เหนื่อยตรงที่จะแก้ปัญหาให้อย่างไร นั่นคือหัวใจของคนที่เป็นรัฐบาล จะต้องนึกถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด และหาวิธีการที่จะทำให้ได้ แต่จะได้มากได้น้อยต้องเข้าใจกัน
“อยากให้ทุกคนยิ้มแบบนี้ทั้งประเทศ จะทุกข์จะสุขก็ยิ้มให้กัน ยิ้มแย้มแจ่มใสความทุกข์เก็บไว้แล้วค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ระบาย แต่ถ้าระบายออกด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน มันไม่มีอะไรจะดีขึ้น นอกจากปลูกฝังความเกลียดชังไปเรื่อยๆ และเราก็ทรมาน ยืนยันว่าผมไม่ใช่ศัตรูกับใครทั้งสิ้น ทุกอย่างที่พูดไปเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของผมตั้งแต่มาเป็นนายกฯ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ และคงอยู่ไปอีกนาน”
ขณะที่ชาวเพชรบูรณ์เตรียมจะปรบมือและส่งเสียง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ รีบพูดตัดบทขึ้นว่า "อย่าไปตีความผิดว่าผมจะอยู่อีกนาน เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก ทำงานจนลืมวัน เดือน ปี นาฬิกาไม่เคยดู"
สัญญาใจกับประชาชน
“วันนี้ที่มา มาเพื่อให้เห็นหน้าเห็นตา และทำสัญญาใจว่าเราจะช่วยกัน ช่วยกันให้ได้ในเรื่องที่ทำให้ประเทศเติบโต และปลอดภัย เป็นประเทศที่มีสุขภาพจิตที่ดีจะต้องใช้เวลาไม่ใช่ 1 ปี หรือ 2 ปี ที่ผมอยู่มาวันนี้หลายปี ก็ทำอะไรได้เยอะพอสมควร นี่ไม่ได้พูดว่า อยาก หรือ ไม่อยากอยู่อะไรทั้งสิ้น ไม่เกี่ยว เดี๋ยวจะตีความกันผิดอีก สุขก็ยิ้ม ทุกข์ก็ยิ้ม และที่ผมยิ้มอยู่ในใจก็ร้อนอยู่”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายกฯ เป็นประธานในพิธีเสร็จ ได้เดินสอบถามสารทุกข์สุขดิบของประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม โดยประชาชนบางคนถึงขั้นเข้ามาสวมกอด และร้องไห้ดีใจที่ได้พบนายกฯ และได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ขณะที่บางคนจะลงกราบที่เท้าของนายกฯ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ห้ามไว้พร้อมระบุว่า "ไม่ต้องทำแบบนี้"
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า การลงพื้นที่ของนายกฯ ครั้งนี้ แม้จะมีการรักษาความปลอดภัย ทั้งทีมทหาร และ ตำรวจ แต่ไม่ได้เข้มงวดเหมือนกับการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ โดยประชาชนสามารถเข้ามาใกล้ชิดสวมกอด เดินตามขอถ่ายภาพ และเข้ามาร้องความทุกข์ ความต้องการต่อนายกฯ โดยตรงได้แบบประชิดตัว ก่อนที่นายกฯ จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ
…นี่คือ ลีลาของ “บิ๊กตู่” ที่ทำให้ตีความได้ว่า “ไปต่อทางการเมือง” โดยมีเป้าหมาย คือ เก้าอี้ “นายกฯ สมัย 3” เหลือเพียง วัน เวลาใด เท่านั้น ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการ