จากกรณีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อแจ้งเอาผิด นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช หลังพบว่า นายรัชฎา มีพฤติกรรมใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่เหมาะสม กลั่นแกล้งโยกย้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมจ่ายเงินวิ่งเต้น จำนวน 500,000 บาท ไปยังตำแหน่งอื่นๆ ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนา หรือที่พักอาศัย
อีกทั้งยังมีพฤติกรรมเรียกเก็บเงินจากหัวหน้าหน่วยงานภาคสนาม คิดตามอัตราส่วนจากหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ
กระทั่งวันนี้ (27 ธ.ค.65) เจ้าหน้าที่ บก.ปปป. ได้บุกเข้าจับกุมนายนายรัชฎา และเข้าค้นห้องทำงาน พบเงินสดประมาณ 5 ล้านบาท ขณะที่นายรัชฎา อ้างว่ามีคนนำซองมาให้ แต่ไม่ทราบว่าข้างในซองเป็นอะไร
การจับกุมอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติดังกล่าว เป็นปฎิบัติการล่อซื้อ ขณะที่นายรัชฎา ประชุมที่กรมอุทยานแห่งชาติ
นับเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ธรรดา และไม่ปกติ
เปิดประวัติ "รัชฎา"
สิ่งบ่งชี้เหตุไม่ปกติอีกประการ คือ กรมอุทยานแห่งชาติ เป็นกรมใหญ่ และมีความขัดแย้งสูง ในกลุ่มของผู้บริหารสูงมาก
รัชฎา ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยาน เมื่อ เดือนมีนาคม 2565 ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) แต่งตั้งให้เป็น อธิบดีกรมอุทยานฯ แทนนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีคนเก่า หมดวาระเนื่องจากดำรงตำแหน่งมาครบ 8 ปี
รัชฎาจบปริญญาตรี จากคณะวิทยาศาสตรบัณฑิต (วนศาสตร์) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจบปริญญาโท จากคณะศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 30 ก.ย. 2560 – 30 ก.ย. 2563 , รองอธิบดีกรมป่าไม้
ก่อนหน้าเข้ารับตำแหน่ง "อธิบดีกรมอุทยานฯ” ของ นายรัชฎา ถูกมองว่า เป็นการช่วงชิงอำนาจ เป็นศึกระหว่างรุ่น "วน.46-47" ม.เกษตรศาสตร์
ก่อนหน้า นายรัชฎา มานั่งอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง ที่ลงนามโดย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กับตัวนายรัชฎาเอง ในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักสำคัญๆ รวมไปถึงหัวหน้าอุทยานฯขนาดใหญ่ และอุทยานฯทางทะเล อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆทั่วประเทศ
ตำแหน่งต่างๆเหล่านั้น มีความสัมพันธ์กับอดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ทั้งการเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่นที่ 47 และลูกน้องคนสนิททั้งสิ้น
ช่วงที่เข้ามาจึงหนีไม่พ้นที่จะมีคนตั้งคำถามถึงความขัดแย้ง และปัญหาที่เคยฟัดกันมาก่อน
แม้จะบอกว่าไม่มีปัญหา แยกลูกหม้อ และลูกบ้านออกจากกันก็ตาม
อย่างไรก็ดี ปมที่คนคาใจสังคมมากคือ พบมีเงินในซอง 5 ล้านบาท โดยอ้างว่าไม่ได้เปิดดู จริงหรือ !!
ตระกูล “สุริยกุล ณ อยุธยา” เป็นตระกูลใหญ่ ร่ำรวย เป็นนามสกุลพระราชทาน
รัชฎา เป็นน้องชาย คนเล็ก ของ พล.อ.ยุวนัฏ สุริยกุล ณ อยุธยา (บิ๊กยาว) ที่สำคัญเป็นเตรียมทหารรุ่น 12 เพื่อนร่วมรุ่น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เคยดำรงตำแหน่งด้านการทหาร เคยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ (อัตราพลเอก) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าสำนักงานรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ต่อมาช่วงปี 2554 เป็นหัวหน้าสำนักงานผู้บัญชาการทหารบก ยุค “บิ๊กตู่” เป็น ผบ.ทบ.
เคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่ภายหลังได้ขอลาออกเนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ
เปิดปูมธุรกิจ"บิ๊กยาว"
ข้อมูลจาก สำนักข่าวอิสรา ระบุุว่า "บิ๊กยาว" เป็นอีกคนหนึ่งในแวดวง ‘อสังหาริมทรัพย์’ โดยถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัทเอกชนที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 6 แห่ง เท่าที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน และตรวจสอบพบเพิ่มเติม ได้แก่ บริษัท โปร-เอ็ม จำกัด บริษัท ไฟว์เอ็ม ไซเบอร์ จำกัด บริษัท ชัยนันท์-บางพลี พาร์คแลนด์ จำกัด บริษัท ตรีโฮม พรอพเปอร์ตี้ จำกัด บริษัท โฟร์โฮม จำกัด และบริษัท ทริปเปิ้ลดี กรุ๊ป จำกัด
นอกจากนี้ยังทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์อย่างน้อย 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ดีไซน์ พ้อยท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด บริษัท เอ็ม ดี อินเตอร์เทรด โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด ขณะเดียวกันทำธุรกิจเกี่ยวกับการให้เช่าและบริการอย่างน้อย 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ชัยนันท์ เซอร์วิส กรุ๊ป จำกัด และบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด
อย่างไรก็ดี พล.อ.ยุวนัฏ ระบุว่า ลาออกจากกรรมการบริษัทแล้ว 2 แห่ง คือ บริษัท ดีไซน์ พ้อยท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และบริษัท เอ็ม ดี อินเตอร์เทรด โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด
ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ช่วงพ้นตำแหน่ง สนช. เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2561 (เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2561) พล.อ.ยุวนัฏ ระบุว่า ถือหุ้นบริษัท ชัยนันท์-บางพลี พาร์คแลนด์ จำกัด 2,666,667 หุ้น ได้มาเมื่อปี 2554
พล.อ.ยุวนัฏ แจ้งบัญชีทรัพย์สินช่วงพ้นตำแหน่ง สนช. ระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น (รวมคู่สมรส) 345,876,763 บาท หนี้สิน 35,397,705 บาท เทียบกับช่วงช่วงเข้ารับตำแหน่ง สนช. ที่มีทรัพย์สินทั้งสิ้น (รวมคู่สมรส) 449,344,380 บาท มีหนี้สินรวม 108,865,119 บาท เท่ากับว่า ทรัพย์สินลดลง 103,467,617 บาท แต่หนี้สินก็ลดลงไป 73,467,414 บาท
ประเมินสิ่งที่สังคมอยากรู้คือ ตระกูลใหญ่ เหตุใดจึงเห็นแก่เงิน 5 ล้านบาท
ดับ”รัชฎา” จึงเป็นปฎิบัติการพิเศษ สะท้าน”ยุวนัฏ” สะเทือนถึง "บิ๊กตู่"